สัจจพยากรณ์ถึงการเสียชีวิตของท่านหญิงฟาติมะห์ อัซซะฮฺรออฺ (รฎ.)

จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (รฎ.) ได้เล่าว่า ฟาฏิมะฮฺ (รฎ.) ได้เล่าให้ฉันทราบว่า

سَارَّنِيْ رسوْل اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ :

أَنَّ جِبْرِيلَ كَانَ يُعَارِضُنِي بِالْقُرْآنِ فِي كُلِّ سَنَةٍ مَرَّةً ، وَإِنَّهُ عَارَضَنِي الْعَامَ مَرَّتَيْنِ ، وَلَا أَرَى ذلِكَ إِلَّا اقْتِرَابِ أَجَلِىْ ، فَاتَّقِىْ اللهَ وَاصْبِرِىْ فَنِعْمَ السَّلَفُ أَنَالَكِ فَبَكَىْتُ ، ثُمَّ سَارَّنِىْ فَقَالَ : أَمَاترضىْنَ أَنْ تَكُوْنِيْ سَيِّدَةَ نِسَاءِالْمُؤْمِنِيْنَ – أَوْسَيِّدَةَنِسَاءِهَذِهِ الْأُمَّةِ فَضَحِكْتُ  متفق عليه

 

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กระซิบบอกเป็นความลับแก่ฉัน ท่านกล่าวว่า

“แท้จริงญิบรีล (อ.ล.) เคยสอบทวนอัล-กุรอานกับฉันในทุกๆ ปี หนึ่งครั้ง  และแท้จริงในปีนี้ญิบรีล (อ.ล.) สอบทวนอัล-กุรอานกับฉัน 2 ครั้ง และฉันก็ไม่เห็นว่าสิ่งดังกล่าวบ่งถึงอะไรนอกเสียจากอายุขัยของฉันใกล้จะหมดลง  ดังนั้น เธอจงมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และจงมีความอดทน ผู้ที่จากไปก่อนที่ดียิ่งคือฉันสำหรับเธอ”  ฉัน (ฟาฏิมะฮฺ) จึงร้องให้, ต่อมาท่านก็กระซิบบอกเป็นความลับแก่ฉันอีก ท่านกล่าวว่า “เธอไม่ยินดีหรอกหรือที่เธอจะได้เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งเหล่าศรัทธาชน -หรือเป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งประชาชาตินี้- แล้วฉันก็หัวเราะ

(รายงานพ้องกันโดย อัล-บุคอรียฺและมุสลิม)

 

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่านศาสนทูต พระนางคือนายหญิงของเหล่าสตรีทั้งหลายในโลก เป็นมารดาของท่านอัลหะสัน (รฎ.) และอัลหุสัยนฺ (รฎ.) มุหฺสิน, อุมมุกัลษูม และซัยหนับ (รฎ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (รฎ.) เป็นบุตรีคนเล็กของท่านศานฑูตที่ท่านรักมาก ท่านหญิง (รฎ.) ถือกำเนิดก่อนหน้าการแต่งตั้งท่านศาสนทูตเพียงเล็กน้อย บางกระแสระบุว่า ท่านหญิง (รฎ.) ถือกำเนิดขณะที่อัลกะอฺบะหฺกำลังได้รับการบูรณะ และขณะท่านศาสนทูตมีอายุได้ 35 ปี พระนางได้สมรสกับท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (รฎ.) ในปีที่ 2 หลังสมรภูมิบัดร์

 

และลูกหลาน (อะหฺลุ้ลบัยตฺ) ของท่านศาสนทูตโดยตรง ล้วนแล้วแต่สืบผ่านทางท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (รฎ.) เมื่อครั้งท่านศาสนทูตเจ็บหนักก่อนเสียชีวิต ท่านหญิงได้เฝ้าอาการของท่านศาสนทูต และพระนางได้ร่ำไห้ ท่านจึงบอกกับพระนางว่า พระนางคือครอบครัวของท่าน (อะฮฺลุลบัยต์) คนแรกที่จะเสียชีวิตตามท่านศาสนทูตไป และบอกอีกว่าพระนางคือนายหญิงแห่งบรรดาสตรีของประชาชาตินี้ พระนางก็หัวเราะ และเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

 

ครั้นเมื่อท่าน ศาสนทูตได้เสียชีวิตแล้ว ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (รฎ.) จึงได้ถามพระนางถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น พระนางจึงเล่าให้ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (รฎ.) ให้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว (อัลบุคอรียฺ ในอัลม่านากิบ (3623) และมุสลิมในฟะฎออิล อัศ-เศาะหาบะฮฺ (2450) หลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสนทูตได้ราว 5 เดือนเศษ ท่านหญิงก็เสียชีวิตตามท่านศาสนทูตไป พระนางมีอายุ 24-25 ปี ขอพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงพึงพอพระทัยต่อนายหญิงของพวกเราด้วยเทอญ

 

อนึ่ง มีรายงานจากท่านอัชชะอฺบีย์ว่า เมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (รฎ.) ได้ล้มป่วย ท่านอบูบักร (รฎ.) ได้มาหาและขออนุญาต (เพื่อเข้าเยี่ยม) ท่านอะลี (รฎ.) จึงกล่าวว่า : โอ้ ฟาฏิมะฮฺ นี่แน่ะท่านอบูบักรได้มาขออนุญาตเธอน่ะ ! ท่านหญิงจึงกล่าวว่า : ท่านพอใจให้ฉันอนุญาตแก่เขาหรือไม่ ท่านอะลี (รฎ.) ตอบว่า : ได้สิ ! ท่านอัชชะอ์บีย์กล่าวว่า:ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺได้ปฏิบัติตามสุนนะฮฺ (ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อพระนาง)

 

ทั้งนี้พระนางจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าบ้านของสามีนอกจากได้รับอนุญาตจากสามีเท่านั้น อัชชะอฺบียฺกล่าวต่อว่า “แล้วพระนางก็ให้อนุญาตแก่ท่านอบูบักร (รฎ.) ท่านอบูบักร (รฎ.) จึงได้เข้าไปพบพระนางโดยทำให้พระนางมีความพึงพอใจ (จากเรื่องกินใจเกี่ยวกับมรดกของท่านศาสนทูต)  ท่านอบูบักร (รฎ.) กล่าวว่า : “ขอสาบานต่อพระองค์อัลลอฮฺ ฉันมิได้ละทิ้งบ้าน ทรัพย์สิน ครอบครัว และวงศ์ญาติ นอกจากเป็นไปเพื่อการแสวงหาความพึงพอพระทัยของพระองค์อัลลอฮฺ ท่านศาสนทูต และความพึงพอใจของพวกท่านเหล่าวงศ์วานของท่านศาสนทูต”

 

อัชชะอฺบียฺกล่าวว่าภายหลังอบูบักรก็คงพยายามทำให้พระนางพึงพอใจ จนในที่สุดพระนางก็พึงพอใจ (ไม่ติดใจอันใดอีก) (เฏาะบะกอต อิบนุ สะอ์ดฺ 8/27 เป็นสายรายงานมุรสัล ผู้รายงานเชื่อถือได้ จาก สิยัร อัลอะอ์ลาม 3/426-427)

 

อนึ่ง กลุ่มชนที่เกลียดชังท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) และท่าน อบูบักร อัศ-ศิดดีก (ร.ฎ.) ได้พยายามสร้างมายาคติในเชิงลบต่อบุคคลทั้งสองว่าเป็นศัตรูกับอะฮฺลุลบัยต์ โดยเฉพาะกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.)  อัล-หะดีษที่เป็นสัจจะพยากรณ์ในเรื่องนี้ย่อมมีความกระจ่างชัดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลทั้งสาม ซึ่งสวนทางกับมายาคติในเชิงลบที่กลุ่มชนดังกล่าวพยายามสร้างขึ้น

 

เพราะอัล-หะดีษบทนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) ที่ถูกรายงานโดยท่านหญิงอาชิชะฮฺ (ร.ฎ.) และถูกบันทึกไว้ในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺและมุสลิม ความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺอัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) มีมากมายและสูงส่งยิ่ง  จึงเป็นเรื่องที่มีมติเห็นพ้อง (อิจญมาอฺ)  และมีการรายงานอย่างต่อเนื่องและท้วมท้นด้วยผู้รายงานเป็นจำนวนมาก (มุตะวาติร)  ผู้ใดปฏิเสธถึงความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) ผู้นั้นย่อมสิ้นสภาพจากความเป็นมุสลิม (มุรตัด) วัลอิยาซุบิลลาฮฺ

 

และส่วนหนึ่งจากผู้ที่รายงานถึงความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) ก็คือ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.)  หากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) เป็นศัตรูกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) จริงอย่างที่กลุ่มชนนั้นพยายามสร้างมายาคติในเชิงลบแล้วไซร้ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) ก็คงไม่รายงานอัล-หะดีษบทนี้ที่ระบุถึงฐานันดรอันสูงส่งของผู้เป็นศัตรูตามคำกล่าวอ้างของชนกลุ่มนั้นเป็นแน่แท้  ท่านเป็นผู้หนึ่งที่รายงานถึงความประเสริฐของอะฮฺลุลบัยต์ว่า “พวกท่านจงให้ความคัญให้เกียรติและยกย่องมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม)  ในวงศ์วานของเขา” (จากอิบนุ อุมัร (ร.ฎ.) บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 3713)

 

และอัล-หะดีษที่เราระบุข้างท้ายสัจจะพยากรณ์เรื่องนี้เกี่ยวกับการเข้าเยี่ยมอาการของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) โดยท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ได้พยายามวิงวอนของความพึงพอใจจากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ  (ร.ฎ.) จนในที่สุดเรื่องก็จบลงด้วยดี