อ.อาลี เสือสมิง : ถามตอบปัญหา
สารบัญปัญหาคาใจ => หมวด : หะล้าลหะรอม และมุอามะลาต => ข้อความที่เริ่มโดย: [email protected] ที่ ตุลาคม 12, 2010, 01:41:11 pm
-
อัสลามุอลัยกุม
สืบเนื่องจาก http://alisuasaming.org/webboard/index.php?topic=743.0
ในตอนต้นของคำตอบที่ว่า
\"เสียงของสตรีจะเป็นที่ต้องห้ามขณะเกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮฺ\"
\"เราอนุญาตให้พูดคุยกับบรรดาสตรีที่แต่งงานกันได้และโต้วาทีกับพวกนางได้ในกรณีที่มีความจำเป็นยังสิ่งนั้น\"
\"อย่างไรก็ตามย่อมเป็นการดีในการพูดจาระหว่างคนต่างเพศว่าจะต้องอยู่ในกรอบหรือขอบเขตที่จำกัดที่สุด และอยู่ในเรื่องที่ไม่นำพาไปสู่ความเสียหาย\"
กับในตอนท้าย
\"และโปรดอย่าลืมว่าฝ่ายหญิงที่เป็นแฟนกันนั้นมิใช่นางทางโทรศัพท์ แต่เป็นคนที่ฝ่ายชายรักชอบอยู่ฉันท์ชายหญิง จึงต้องรักษาน้ำใจและให้เกียรติกัน คิดถึงคราใดก็โทรหากันได้ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและปรึกษาปัญหาคือเป็นเพื่อนคู่คิด มิใช่คู่ขา การคุยโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวมิอาจทำให้รู้นิสัยใจคอที่แท้จริงได้ ขนาดรู้หน้ายังไม่รู้ใจ สำหาอะไรกับแค่ฟังเสียง ซึ่งเสแสร้งและแต่งเติมกันได้ คบหาดูใจกันก็ไม่ผิดถ้าอยู่ในขอบเขตที่ศาสนากำหนด คุยโทรศัพท์ก็ไม่ผิด แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นและมีขอบเขตตลอดจนระยะเวลาที่เหมาะสม คุยโทรศัพท์ต้องเสียสตังค์มิใช่ M150 จะได้ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย อย่างนี้ไม่ควร เอาเป็นว่าให้รู้จักลิมิตเวลาโทรหากันจะได้ไม่เบื่อง่าย หน่ายเร็ว!\"
ผมมองว่ามันดูจะขัดๆกันอยู่
การเป็นแฟนกัน คิดถึงคราใดก็โทรหากันได้ ให้ลิมิตเวลาโทรหากัน ทั้งๆที่ทั้งสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่มีความรับผิดชอบต่อกัน อยู่ในกรอบของศาสนาที่อนุญาติให้ชายหญิงพูดคุยกันได้ในกรณีจำเป็นได้อย่างไร ?
จะหลีกพ้นจากฟิตนะฮฺที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างไร ?
การเป็นแฟนกันโดยพูดคุยกัน คิดถึงแล้วโทรหากัน ในความเป็นจริงของสังคมผู้ชายย่อมไม่ได้กระทำมันต่อหน้ามะหฺรอมของฝ่ายหญิง จะเป็นการรักษาเกียรติกันได้อย่างไร มันจะไม่ในำไปสู่ความเสียหายต่อความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิง ไม่นำไปสู่ความวุ่นวายของสังคมได้อย่างไร ?
อยากให้อาจารย์อธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
การคบหาดูใจกันก่อนแต่งงานที่เรียกว่า\"แฟน\"อย่างที่วัยรุ่นในปัจจุบันในสังคมของเราทำกันอยู่เป็นที่อนุมัติในอิสลามหรือไม่ครับ อยากให้อาจารย์บอกถึงหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ ตลอดจนตัวอย่างจากบรรดาสลัฟในเรื่องนี้ด้วยครับ
ขออัลลอฮฺตอบแทนครับ
-
وعليكم السلام ورحمة الله و بركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
หากผู้ถาม ตัดเฉพาะข้อความที่ขึ้นต้น ทั้ง 3 ประโยคเอามาเรียบเรียงตามลำดับก็จะเห็นว่าสาระสำคัญของ 3 ประโยคนั้นจะดูขัดๆ กับข้อความตอนท้ายที่ดูเผินๆ แล้วเขียนคำตอบเอาไว้โดยไม่เคร่งครัดกับสาระสำคัญของ 3 ประโยคตอนต้น หากจะตอบตรงๆ ว่าเรื่องแบบนี้ขัดกันได้เพราะนี่เป็นข้อเขียนที่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเขียนตอบเอาไว้ตามความเห็นของตน มิใช่อัลวะหฺยุที่มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือไม่ใช่ อัล-กุรอาน ซึ่งจะไม่มีข้อขัดแย้งกัน ไม่มีสิ่งที่ผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง
แต่ถ้าจะตอบโดยอธิบายความก็คงตอบได้ว่า เหตุที่เขียนตอบตอนท้ายในทำนองนั้นก็เป็นเพราะเนื้อหาของคำถามที่มีผู้ถามมานั่นเอง คือถามมาว่า : \"ในการคุยโทรศัพท์ของหญิง ชาย ศาสนาอนุญาตหรือไม่\" นี่เป็นคำถามที่หนึ่ง ซึ่งผู้ตอบยังไม่ฟันธงว่าศาสนาอนุญาตหรือไม่? แต่มุ่งประเด็นไปยัง กรณีเสียงของผู้หญิงเป็นเอาเราะฮฺหรือไม่?
แล้วผู้ตอบก็อ้างคำฟัตวาของ ชัยค์ อะฏียะฮฺ ศ็อกร์มาประกอบ ซึ่งท่านให้น้ำหนักว่าเสียงของผู้หญิง (ตัวเสียง) มิใช่เอาเราะฮฺ ยกเว้นมีการออกเสียงด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลและยั่วยวน ก็จะเข้าข่ายว่าเป็นเอาเราะฮฺ สอดคล้องกับคำกล่าวของอิหม่าม อัล-เฆาะซาลียฺ ที่ระบุว่า \"เสียงของสตรีจะเป็นที่ต้องห้ามขณะเกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮฺ\" ซึ่งเป็นประโยคที่ 1 ที่ผู้ถามหัวข้อ \"แฟนในอิสลาม\" ตัดเอามาขึ้นจั่วเรื่องเอาไว้ และประโยคที่ 1 นี่เองที่ผู้ถามตั้งข้อสังเกตในตอนหลังว่า \"จะหลีกพ้นจากฟิตนะฮฺที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างไร?\"
ก็ตอบตรงประโยคที่ 1 และข้อสังเกตที่ตั้งเอาไว้ว่า \"ฟิตนะฮฺที่เกิดขึ้นในใจนั้น\" ยากที่ลูกหลานของอาดัมจะรอดพ้น และไม่จำเป็นว่าจะต้องคุยโทรศัพท์หรือไม่ก็ตาม เห็นรูปก็เกิดฟิตนะฮฺในใจได้ หลับตาแล้วนึกภาพในจินตนาการโดยไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียวก็เกิดฟิตนะฮฺในใจได้ และฟิตนะฮฺที่เกิดในใจนี้ลูกหลานของอาดัมที่ยังเป็นปุถุชนธรรมดาย่อมไม่สามารถควบคุมหรือห้ามไม่ให้เกิดขึ้นในใจของตนได้
ศาสนาจึงถือว่าเป็นเพียงซินาทางใจ ไม่ใช่ซินาตามหุก่มของศาสนา และจะยังไม่มีการจดบันทึกใดๆ ในบัญชีของความดีและความชั่ว ต่อเมื่ออวัยวะที่เป็นสิ่งสงวน (อวัยวะเพศ) และอวัยวะส่วนอื่นเช่น ตา มือ และเท้า ร่วมกระทำความผิดตามหุก่มของศาสนาที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
ดังนั้นเมื่อเราได้ข้อสรุปข้างต้นว่าเสียงของผู้หญิงไม่เป็นเอาเราะฮฺ ก็แสดงว่าไม่ห้ามฟัง ต่อเมื่อผู้หญิงใช้น้ำเสียงที่นิ่มนวล ไพเราะจับใจ และยั่วยวน เสียงของนางจะกลายเป็นเอาเราะฮฺในขณะนั้น คือห้ามฟังในสภาพเช่นนั้นเพราะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดฟิตนะฮฺในอารมณ์ของฝ่ายชายได้ ความผิดหรือบาปจึงยังไม่ได้อยู่ในขั้นของการฟังน้ำเสียง แต่ความผิดหรือบาปจะเกิดขึ้นต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้น้ำเสียงที่มีสภาพเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดอารมณ์ และเมื่อฝ่ายที่ฟังเกิดอารมณ์ก็ถือว่าการฟังนับตั้งแต่เริ่มมีอารมณ์กำหนัดนั้นเป็นบาปแล้ว เพราะฝ่ายหญิงเปลี่ยนสภาพของเสียงที่มิใช่เอาเราะฮฺให้กลายเป็นเอาเราะฮฺ และฝ่ายชายก็กำลังฟังที่กลายเป็นเอาเราะฮฺอยู่นั่นเอง
ผู้ถามเรื่อง การคุยโทรศัพท์ระหว่างหญิงชาย ถามประโยคต่อมาว่า \"และการคุยโทรศัพท์ของชายหญิงโดยให้เหตุผลว่าเพื่อจะได้ทราบนิสัยใจคอของฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่น เมื่อเทียบกับวัยรุ่นยุคปัจจุบัน การคบหาดูใจกันระหว่างชายหญิงมักจะคุยโทรศัพท์ทั้งวัน ทั้งคืน อยากทราบว่ามีผลทางศาสนาอย่างไร?\"
เมื่อผู้ถามให้รายละเอียดมาดังที่ปรากฏในคำถาม ผู้ตอบจึงได้อ้างคำสรุปของชัยคฺ อะฏียะฮฺ ศ็อกร์ อีกครั้งว่า \"อย่างไรก็ตามย่อมเป็นการดีในการพูดจาระหว่างคนต่างเพศว่าจะต้องอยู่ในกรอบ หรือขอบเขตที่จำกัดที่สุด และอยู่ในเรื่องที่ไม่นำพาไปสู่ความเสียหาย เพราะโดยธรรมชาติของเสียงผู้หญิง คือ ความอ่อนหวานเมื่อมีสิ่งอย่างอื่นผนวกเข้าไปยังธรรมชาติอันนี้ฟิตนะฮฺก็ย่อมมีมากขึ้น สิ่งนี้เองที่บัญญัติของศาสนาเผื่อหรือกันเอาไว้\"
ถัดจากประโยคนี้ผู้ตอบก็สรุปว่า \"ดังนั้นการพูดคุยกันของชายหญิงผ่านโทรศัพท์จึงต้องคำนึงของกรอบหลักการของศาสนาที่นักวิชาการระบุเอาไว้ข้างต้น โดยฝ่ายหญิงต้องไม่ใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวานจนเกินเหตุหรือยั่วยวนให้ฝ่ายชายเกิดอารมณ์ (ทางเพศ) ฝ่ายชายก็เช่นกันต้องไม่ใช้คำพูดในเชิงสวาทหรือการออดอ้อนเล้าโลมในทางเพศ อย่าลืมว่าในปัจจุบันมีการสำเร็จความใคร่ผ่านทางโทรศัพท์อย่างที่รู้กัน\" แล้วก็มาถึงประโยคที่ผู้ตั้งข้อสังเกตตัดตอนเอามาในคำถามตรงที่ว่า \"และโปรดอย่าลืมว่าฝ่ายหญิงที่เป็นแฟนกันนั้น...\" จนกระทั่งจบ
เมื่ออ่านบทสรุปของชัยคฺอะฏียะฮฺ ศ็อกร์ ตรงที่กล่าวว่า \"อย่างไรก็ตาม...\" และอ่านบทสรุปของผู้ตอบที่เริ่มตรงประโยคที่ว่า \"ดังนั้นการพูดคุยกันของชายหญิง...\" จะเห็นได้ว่าไม่ได้ขัดกัน เพียงแต่ผู้ตอบเน้นประเด็นเรื่องของโทรศัพท์ซึ่งเป็นคำถามที่ผู้ถามให้รายละเอียดมา แล้วก็ตอบในข้อความย่อหน้าสุดท้ายถึงรายละเอียดของการโทรศัพท์หากันโดยอ้างเหตุผลว่าจะได้ทราบถึงนิสัยใจคอของอีกฝ่าย และยังแนะนำอีกด้วยว่า การคุยโทรศัพท์ทั้งวันทั้งคืนนั้นไม่ดีต้องคำนึงถึงขอบเขตและระยะเวลาที่เหมาะสม โดยใช้สำนวนที่ผู้อ่านไม่เครียดและอมยิ้มเมื่ออ่านจบ
หากตัดตอนเพียงข้อความย่อหน้าสุดท้ายแล้วนำไปเทียบกับประโยคที่ 2 ใน 3 ประโยคที่ตัดตอนมาซึ่งเป็นคำพูดของท่านกุรฏุบียฺว่า \"เราอนุญาต......ในกรณีที่มีความจำเป็นยังสิ่งนั้น\" ซึ่งท่านอิหม่ามกุรฏุบีย์ท่านมีความเห็นว่าเสียงของผู้หญิงเป็นเอาเราะฮฺ แต่กระนั้นท่านก็บอกว่าหากว่าจำเป็นก็ได้โดยมีเงื่อนไข ซึ่งนำมาเทียบโดยตัดตอนประโยคก็จะดูแล้วขัดกัน
คุณที่ถามจึงตั้งข้อสังเกตว่า \"การเป็นแฟนกัน คิดถึงคราใดก็โทรหากันได้ (ซึ่งนี่เป็นประโยคของผู้ตอบเอง) ให้ลิมิตเวลาโทรหากัน (ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่สรุปความได้และเป็นการตอบตรงประเด็นคุยโทรศัพท์ทั้งวัน ทั้งคืน) ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่มีความรับผิดชอบต่อกัน (ซึ่งก็ถูกอีกเพราะผู้ตอบได้เขียนคำตอบตามคำถามของวัยรุ่นที่เป็นแฟนกัน ยังไม่ได้แต่งงานกันว่านักวิชาการมีความเห็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องเสียงของผู้หญิง หากว่าแต่งงานกันแล้วก็คงไม่ต้องถามว่ามีข้อชี้ขาดอย่างไร?)
อยู่ในกรอบของศาสนาที่อนุญาตให้ชายหญิงพูดคุยกันได้ในกรณีจำเป็นได้อย่างไร? (ก็ในเมื่อเสียงของผู้หญิงไม่เป็นเอาเราะฮฺตามทัศนะที่มีน้ำหนัก การพูดคุยกันระหว่างชายหญิงที่แต่งงานกันได้ คือไม่ใช่มุหฺร็อมก็ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้ และอยู่ในกรอบที่ศาสนาอนุญาตอยู่แล้วโดยให้พิจารณาสภาพและเงื่อนไขที่ให้รายละเอียดมา ทั้งนี้เมื่ออนุญาตและทั้งสองคนนั้นอยู่ในกรอบที่กำหนดก็ย่อมคุยกันได้ในภาวะปกติอยู่แล้ว ส่วนกรณีจำเป็นนั้นเป็นคำพูดของอิหม่าม อัล-กุรฏุบีย์ ซึ่งมีทัศนะว่า เสียงของผู้หญิงเป็นเอาเราะฮฺ ท่านจึงกำหนดว่าได้ในกรณีที่มีความจำเป็นยังสิ่งนั้น ส่วนในทัศนะที่มีน้ำหนักเมื่ออยู่ในกรอบก็อนุญาต และถ้าจำเป็นล่ะ ก็ต้องได้อยู่แล้ว เพราะในภาวะปกติที่อยู่ในกรอบยังได้เลย!)
จะหลีกพ้นจากฟิตนะฮิที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างไร? (ตอบไปแล้วว่าหลีกยาก ไม่คุยโทรศัพท์ก็เกิดได้เช่นกัน และใช่ว่าทุกคนที่คุยกันในเรื่องปกติจะต้องมีฟิตนะฮฺเกิดขึ้นในใจเสมอไป ถ้าเอาเรื่องในใจคนมาเป็นเกณฑ์ก็แย่แล้วล่ะ จะป้องกันได้ก็คือ ไม่ให้ผู้ชายเจอผู้หญิงเลยตั้งแต่เกิด และไม่รู้จักด้วยว่าผู้หญิงคืออะไร ในกรณีของผู้หญิงก็เช่นกัน หลักการของศาสนาให้เอาสิ่งที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวตัดสิน ส่วนเรื่องภายในใจเป็นกิจของอัลลอฮฺ (نَحْنُ نَحْكُمُ بِالظَّوَاهِرِ واللهُ يَتَوَلَّى السَّرَائِرَ) ดังนั้นเมื่อผู้หญิงทำน้ำเสียงยั่วยวนก็เรียกว่ากระทำสิ่งที่ปรากฏออกมาแล้ว และเมื่อผู้ชายฟังเสียงที่ยั่วยวนก็เกิดอารมณ์ ก็เรียกว่ากระทำสิ่งที่ปรากฏออกมาแล้วคือฟังสิ่งต้องห้ามในขณะนั้น เราจึงตัดสินได้ว่า นี่ออกนอกกรอบที่ศาสนาอนุญาตแล้ว)
การเป็นแฟนกันโดยพูดคุยกัน คิดถึงแล้วโทรหากัน ในความเป็นจริงของสังคมผู้ชายย่อมไม่ได้กระทำมันต่อหน้ามะหฺรอมของฝ่ายหญิง จะเป็นการรักษาเกียรติกันได้อย่างไร มันจะไม่นำไปสู่ความวุ่นวายของสังคมได้อย่างไร?
ในความเป็นจริงของสังคมเช่นกัน ผู้หญิงมีเพื่อนผู้ชายซึ่งเรียนร่วมห้องกันที่โรงเรียน เพื่อนผู้ชายโทรมาถามการบ้านหรือคุยกันเรื่องทำรายงาน จำเป็นมั๊ยว่าจะต้องคุยต่อหน้ามะหฺร็อมของฝ่ายหญิง ถ้าตอบว่าจำเป็นก็ต้องถามว่า เพราะอะไร?
หากตอบว่า จำเป็นเพราะเป็นการคุยกันระหว่างชายหญิงที่แต่งงานกันได้จึงต้องมีมะหฺร็อมอยู่ด้วย ถ้าตอบอย่างนี้ การพูดคุยกันระหว่างชายหญิงที่เป็นแฟนกันก็ต้องกระทำต่อหน้ามะหฺร็อมเช่นกันดังที่ว่ามา แต่ถ้าตอบว่าไม่จำเป็น ก็ถามกลับว่า เพราะอะไร? หากตอบว่า เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบที่สามารถกระทำได้ ถ้าตอบอย่างนี้การพูดคุยกันระหว่างชายหญิงที่เป็นแฟนกันโดยอยู่ในกรอบก็สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องมีมะหฺร็อมร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว เรื่องที่ต้องมีมะห์ร็อมอยู่ด้วยสำหรับผู้หญิงนั้นเท่าที่มีตัวบทระบุจะหมายถึงกรณีของผู้หญิงออกนอกบ้านหรือเดินทางไกล หากกำหนดเงื่อนไขว่าผู้ชายจะคุยกับผู้หญิงได้ก็ต่อเมื่อมีมะหฺร็อมร่วมอยู่ด้วยเสมอ หากไม่มีไม่ได้ ข้อนี้จะกระทำได้หรือไม่ในสภาพของความเป็นจริง
การคุยโทรศัพท์ในยุคที่ยังไม่มี 3 G คือไม่มีภาพมีแต่เสียงก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เศาะหาบะฮฺผู้ชายที่ไปที่บ้านบรรดาภรรยานบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) หลังจากท่านนบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) วะฟาตไปแล้ว หรือนบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ไม่อยู่แล้วเศาะหาบะฮฺผู้นั้นก็ถามปัญหาศาสนากับภรรยานบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ซึ่งตอบอยู่หลังม่านคือได้ยินแต่เสียงแต่ไม่เห็นตัวตนของพระนาง ถามว่ามีมะหฺร็อมของพระนางร่วมอยู่ด้วยในขณะนั้นหรือไม่?
คำตอบก็คือไม่มีตัวบทระบุอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ และการพูดคุยที่ไม่ได้กระทำต่อหน้ามะหฺร็อม ของฝ่ายหญิงและอยู่ในกรอบที่ศาสนาอนุญาตนั้นก็เป็นการรักษาเกียรติของนางแล้ว และประเด็นเรื่องรักษาเกียรตินี้ผู้ตอบก็แนะนำผู้ถามว่าผู้หญิงที่คุยด้วยเป็นแฟนไม่ใช่นางทางโทรศัพท์!
และถ้าหากการพูดคุยที่อยู่ในกรอบแต่ไม่มีมะหฺร็อมอยู่ด้วยเป็นการทำลายความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงแล้ว ผู้หญิงคนใดเล่าที่ยังคงมีความบริสุทธิเหลืออยู่อีกในโลกนี้ ผู้หญิงคนใดเล่าที่ไม่เคยคุยกับคนต่างเพศที่แต่งงานกันได้โดยไม่มีมะหฺร็อมร่วมอยู่ด้วย และถ้าผู้หญิงกับผู้ชายคุยกันโดยไม่มีมะหฺร็อมอยู่ด้วยจะนำไปสู่ความวุ่นวายในสังคมไปเสียทุกกรณี ก็ขอตอบตามตรงว่า ต่อให้ไม่คุยกันเลยความวุ่นวายในสังคมก็เกิดขึ้นอยู่แล้วตราบใดที่มี \"คน\" เป็นองค์ประกอบหลักของสังคม ขึ้นชื่อว่า \"คน\" อยู่คนเดียวก็ยุ่งวุ่นวายได้เช่นกัน
ดังนั้นอะไรที่เป็นหลักการของศาสนาผู้ตอบก็นำเสนอข้อมูลไว้ให้แล้ว ส่วนความเห็นของผู้ตอบอาจจะไม่เคร่งครัดไปบ้างก็เพราะเป็นการตอบตามสภาพของผู้ถาม อะไรที่ผ่อนได้ก็ผ่อน อะไรที่ตึงและสมควรกระตุกเอาไว้ก็ควรกระทำ การตอบคำถามก็เหมือนกับการให้ความรู้อย่างหนึ่ง และหลักการอย่างหนึ่งในการให้ความรู้ก็คือ ต้องเหมาะสมกับปัญญาและสภาพของผู้รับความรู้ หากขาดหลักข้อนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการมอบสายสร้อยเอาไปคล้องคอของสุกร ดังที่ปรากฏในอัล-หะดีษ
ส่วนเรื่องแฟนนั้นก็ตอบไปแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะเอาหลักฐานจากอัล-กุรอาน สุนนะฮฺ และแนวทางสะลัฟมาเป็นตัวอย่างในเรื่องการมีแฟน ก็เหนื่อยที่จะตอบแล้วล่ะครับ เอาไว้โอกาสต่อไปดีกว่า อินชาอัลลอฮฺ ถ้าไม่หลังขดหลังแข็งเป็นอัมพาตไปเสียก่อน ขอทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็น สิ่งที่เราคิดอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เราคิดก็ได้!
والله أعلم بالصواب