الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกให้เราทราบว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีพระนาม 99 พระนามที่ผู้ใดเรียนรู้ถึงความหมายของแต่ละพระนามแล้วดำรงไว้ซึ่งสิทธิของ แต่ละพระนามตลอดจนปฏิบัติตามข้อชี้ขาดของแต่ละพระนามนั้น ผู้นั้นจะได้เข้าสู่สวนสวรรค์ของพระองค์ (มุคตะซ๊อร มะอาริญิล ก่อบู้ล, ชัยค์ ฮาฟิซ อะฮฺหมัด อาลฮุกมีย์ หน้า 36)
มีรายงานใน ซ่อฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ และมุสลิมจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า :
(إنَّ للهِ تِسْعَةً وَتِسْعِيْنَ اسْمًامَنْ احصاهادَخَلَ الْجَنَّةَ الحديث)
“แท้จริงสำหรับพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) มี 99 พระนาม ผู้ใดนับเนื่องมันได้ ผู้นั้นเข้าสู่สวรรค์”
หะ ดีษบทนี้บ่งชี้ว่าสำหรับพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) มีจำนวนแน่นอนจากพระนามของพระองค์โดยระบุว่ามี 99 พระนาม แต่ปัญหาอยู่ตรงที่มีรายงานของท่านอิบนุ มัสอู๊ด (ร.ฎ.) จากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า : (ส่วนหนึ่งจากตัวบท)
(أسْألكَ بِكُلِّ اسْمٍ هُوَلَكَ ٬ سَمَّيْتَ بِه نَفْسَكَ ٬ أوأنزلته
فى كتابك ٬ أوَعلمتَه أحدًامن خلقِكَ أواسْتأثرتَ به فى علم الغيبِ عِنْدَكَ ... الحديث)
“ฉันขอวิงวอนต่อพระองค์ท่านด้วยพระนามทั้งหมดของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ทรงเรียกขานนามนั้นแก่พระองค์เอง หรือพระนามที่พระองค์ทรงประทานลงมาในคัมภีร์ของพระองค์ หรือพระนามที่พระองค์ทรงสอนพระนามนั้นแก่ผู้หนึ่งจากสรรพสิ่งถูกสร้างของ พระองค์ หรือพระนามที่พระองค์ทรงสงวนเอาไว้ในความรู้อันเร้นลับ ณ พระองค์ท่าน...”
หะดีษบทนี้บ่งชี้ว่า ส่วนหนึ่งจากบรรดาพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือพระนามที่พระองค์มิได้ทรงประทานลงมาในคัมภีร์ของพระองค์ หากแต่ว่าพระองค์ทรงให้บ่าวของพระองค์บางส่วนได้รู้เป็นการเฉพาะ หรือพระองค์ทรงสงวนสิทธิเอาไว้ โดยมิให้ผู้ใดได้รู้ถึงพระนามนั้น ในขณะที่หะดีษของอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) บ่งชี้ว่าพระนามของพระองค์ทั้ง 99 พระนามทั้งหมดถูกประทานลงมาและเป็นที่รู้กัน โดยมีข้อความที่ว่า “ผู้ใดนับเนื่องมันได้” เป็นสิ่งบ่งชี้
ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ จำนวนของพระนามที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงบอกให้เราได้รู้ในคัมภีร์หรือที่ร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ระบุเอาไว้มี 99 พระนาม ไม่เกินจากจำนวนนี้ตามการระบุเป็นตัวบทของท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ส่วนที่เกินจากจำนวน 99 พระนามนี้เป็นสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะเป็นความเร้นลับที่พระองค์ทรงสงวนเอาไว้ หรือทรงให้บ่าวของพระองค์รู้เป็นกรณีพิเศษ
พระนามที่พระองค์ทรง ประทานเอาไว้ในคัมภีร์และเราสามารถรู้ได้ตลอดจนนับเนื่องได้นั้นมี 99 พระนาม กระนั้นก็ไม่มีหะดีษที่ซ่อฮีฮฺให้รายละเอียดของพระนามทั้ง 99 พระนามเอาไว้อย่างชัดเจนเด็ดขาดว่ามีพระนามอะไรบ้าง จะมีก็เป็นหะดีษที่อ่อนระบุรายละเอียดของพระนามทั้ง 99 พระนามเอาไว้ (ดูฎ่ออีฟ อัลญามิอฺ อัซซ่อฆีร 1943,1944 / พิมพ์ครั้งที่ 2 อัลมักตับ อัลอิสลามีย์)
พระนามส่วนใหญ่มีรายงานกระจัดกระจาย กันไปในคัมภีร์อัลกุรอ่าน และในซุนนะฮฺของท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อายะฮฺหนึ่งอาจจะระบุพระนามเอาไว้ หนึ่งหรือสองหรือมากกว่า หรืออายะฮฺหนึ่งอาจลงท้ายด้วยพระนามหนึ่งหรือมากกว่า ในขณะที่หลายอายะฮฺระบุพระนามเอาไว้เป็นกลุ่มก็มี ดังเช่น ในบทอัลฮัชฺร์ อายะฮฺที่ 22-24 เป็นต้น
นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความสนใจใน การรวบรวมพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เอาไว้ ทั้งจากคัมภีร์อัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ ตลอดจนทำการอรรถาธิบายพระนามเหล่านั้นอีกด้วย เช่น ท่านอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์, อิบนุญะรีร อัฏฏอบรี่ย์ อบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ และอิบนุ ฮะญัร อัลอัสก่อลานีย์ เป็นต้น ซึ่งบรรดานักวิชาการเหล่านี้เห็นพ้องกันในการนับจำนวนของพระนามจำนวนมาก และมีความเห็นต่างกันในส่วนน้อย ซึ่งบางคนอาจจะนับว่าพระนามนั้นเป็นหนึ่งจากพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในขณะที่บางส่วนอาจจะโต้แย้งไม่เห็นด้วย (ตัลคีซฺ อัลหะบีร 4/172)
สาเหตุที่มีความเห็นต่างกันเป็นเพราะว่านักวิชาการบาง ท่านเข้าใจว่าทุกสิ่งที่อัลกุรอ่านเรียกขานพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ย่อมอนุญาตให้นับเป็นนามหนึ่งของพระองค์ได้ เช่น ท่านอบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ (ร.ฮ.) นับคำว่า : رَابِعُ ثلاثة และ سادِسُ خَمسَة ว่าเป็นส่วนหนึ่งจากพระนามของพระองค์ โดยเอามาจากอายะฮฺที่ 7 จากบทอัลมุญาดะละฮฺ ซึ่งจริง ๆ แล้วมิใช่พระนามของพระองค์แต่อย่างใด (อัลอะกีดะฮฺ ฟิลลาฮฺ ; ดร.อุมัร สุลัยมาน อัลอัชก๊อร หน้า 186-187)
นอกจาก นี้ยังมีคำในรูปของกริยาต่าง ๆ (الأفعال) ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเรียกพระองค์เองในเชิงการตอบแทนหรือการตอบโต้แบบหนามยอกเอาหนามบ่ง เช่น (إن المنافقين يخادعون الله وهوخادعهم) (ويمكرون ويمكرالله) (الله يستهزئ بهم)
ดังนั้นจะไม่มีการเรียกหรือให้พระนามแก่พระองค์ว่า مستهزئ ٬ ماكر ٬ مخادع โดยไม่มีสิ่งจำกัด (الإطلاق) และส่วนหนึ่งจากพระนามของพระองค์ก็คือพระนามที่จะไม่ถูกเรียกนอกจากต้องมีคำ ที่ตรงกันข้ามกันควบคู่กันมา เพราะถ้าเรียกนามนั้นเพียงลำพังอาจก่อให้เกิดความบกพร่องได้ เช่น المانع ต้องเรียกคู่กับนามว่า الضار , المعطى ต้องเรียกคู่กับนามว่า النافع เป็นต้น
และดูเหมือนว่า ท่านอิบนุฮะญัร อัลอัสกอลานีย์ (ร.ฮ.) จะมีความใกล้เคียงกับความถูกต้อง ในการนับพระนามทั้ง 99 พระนามโดยนำเอามาจากอัลกุรอ่าน (อัลอะกีดะฮฺ ฟิลลาฮฺ ; อ้างแล้ว หน้า 191-192 / มะอาญิรุ้ลก่อบู้ล หน้า 32) ซึ่งการนับจำนวนของพระนามทั้ง 99 พระนามของท่านอิบนุฮะญัร (ร.ฮ.) เป็นการอิจฺญ์ติฮาดของท่าน ซึ่งมิใช่สิ่งที่เด็ดขาดแต่ก็มีความใกล้เคียง เหตุที่ว่าไม่เด็ดขาดก็เพราะว่า ในขณะที่ท่านอิบนุฮะญัร (ร.ฮ.) นับคำว่า (ذوالقوة المتين) เป็นพระนามหนึ่งจาก 99 พระนาม ท่านก็มิได้นับคำว่า (ذوالرحمة) เข้ามาด้วยทั้ง ๆ ที่คำ ๆ นี้ก็มีระบุในอัลกุรอ่านเช่นเดียวกัน (อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 58)
ดังนั้นถ้อยความที่ระบุมาในคำถามที่ว่า : “ล้วนแล้วแต่เป็นพระนามที่มีจำนวนที่ไม่ถูกต้องตายตัวนัก และบางพระนาม หาได้เป็นพระนามของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) แต่อย่างใดไม่” ก็มีส่วนถูก แต่ก็ยังมีนัยที่ก่อให้เกิดความสับสนได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ การใช้สำนวนว่า “ล้วนแล้วแต่” แสดงว่าทั้งหมดใช่หรือไม่? ทั้ง ๆ พระนามส่วนใหญ่ที่ระบุในหนังสือฟัรฎูอีนนั้นเป็นพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จริง ๆ มิใช่เป็นคำที่ถูกผัน (تصريف) ตามหลักภาษาแต่อย่างใด (ดูแบบเรียนศาสนาประถมศึกษา สำหรับชั้นปีที่ 4 วิชาเตาฮีด ฟิกฮฺ สมาคมคุรุสัมพันธ์ 2525, หน้า 4-10)
คำว่า “บางพระนาม หาได้เป็น...” ก็ควรจะระบุมาให้ชัดเจนว่าคำไหน เพราะอะไร? และพระนามที่บรรดาสะลัฟหรือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอัลกุรอ่านและหะดีษ รับรองเอาไว้ นั้นมีพระนามอะไรบ้าง ก็น่าจะระบุมาด้วยจะได้ชัดเจน การนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลักศรัทธาควรจะต้องมีการอธิบายที่ ชัดเจน และมุ่งในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ในกรณีที่อาจจะมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นในการรับรู้เดิมของผู้คน มิใช่นำเสนอแบบวัยรุ่นจำพวกแอ๊บแบ๊ว เช่น ใช้สำนวนว่า คงจะงง และคงจะสับสนกันแล้วใช่ใหม? อย่างนี้เป็นต้น
والله أعلم بالصواب