وعليكم السلام ورحمة الله و بركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
สำหรับทัศนะของผม ผมถือว่ากลุ่มอัล-อะชาอิเราะฮฺ และอัล-มาตุรีดียะฮฺ ตลอดจน กลุ่มอัส-สะละฟียะฮฺ (ซึ่งในบ้านเราเรียกกันว่า อัล-วะฮฺฮาบียะฮฺ) ต่างก็สังกัดในแนวทางของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ทั้งสิ้น เพียงแต่ในรายละเอียดของปัญหาในภาควิชาอุศูลุดดีนอาจจะมีความเห็นต่างกัน ซึ่งความเห็นต่างกันนั้นมีระดับตั้งแต่น้อยไปถึงมากแล้วแต่ประเด็นข้อปัญหา แต่หลักใหญ่ใจความซึ่งเป็นแก่นของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺนั้นโดยรวมจะคล้ายกันหรือเหมือนกัน
ผมไม่บังอาจที่จะกล่าวว่า อิมามเฆาะซาลียฺ, อิมามอัน-นะวาวียฺ, อิมามหาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัล-อัสเกาะลานียฺ, อิมามอัล-บัยฮะกียฺ, อิมามสะยูฏียฺ ฯลฯ ซึ่งล้วนสังกัดแนวทางอัล-อะชาอิเราะฮฺ ว่าเป็นผู้หลงผิด (والعياذبالله) ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่บังอาจกล่าวหาว่า ชัยคุล-อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ และ อิบนุ อัล-ก็อยยิมฺ ตลอดจน มุฮัมหมัด อิบนุ อับดิลวะฮฺฮ๊าบ เป็นผู้หลงผิด (والعياذبالله) เช่นกัน
แนวทางของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺก็คือแนวทางที่ชนรุ่นสะลัฟ ศอลิหฺ มีความเชื่อและยึดถือปฏิบัติสืบกันมา บรรดานักวิชาการรุ่นหลังที่เรียกว่า \"เคาะลัฟ\" นั้นอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในบางประเด็นซึ่งมีปัจจัยและสาเหตุที่สามารถอธิบายได้ เช่น การรับบรรดาหะดีษอาหาด (الآحاد) ในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักศรัทธา (العقيدة) การตีความบางหมวดหรือไม่ตีความ การวิเคราะห์ทางปัญญา ตลอดจนการอธิบายหลักความเชื่อในเชิงปรัชญาและตรรกวิทยา เป็นต้น
อย่างไรก็ตามความแตกต่างในประเด็นต่างๆ ที่ว่ามา เป็นเรื่องของการวิเคราะห์และศึกษาแนวทางของชนรุ่นสะลัฟ ศอลิหฺ ซึ่งอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน และผลลัพธ์นั้นก็มีทั้งที่ถูกต้องและคลาดเคลื่อนหรืออาจจะผิดจากหลักการที่แท้จริงของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺก็เป็นได้
สำคัญอยู่ที่ว่า ตัวเรานั้นมีภูมิความรู้อย่างเอกอุและเพียงพอหรือไม่ในการตัดสินว่าอะไรผิดอะไรถูก เราอาศัยสิ่งใดเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน คนเรามักชอบเป็นตุลาการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในระหว่างพวกเรากันเอง โดยที่เราหลงลืมไปว่าผู้ที่มีอำนาจตัดสินชี้ขาดและพิพากษาบั้นปลายของมนุษย์คือพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพียงพระองค์เดียว
ครั้นเมื่อเราถามกลับยังบุคคลที่ชอบตัดสินผู้อื่นว่า คุณใช้บรรทัดฐานอะไรในการตัดสินว่าตัวคุณเป็นผู้ที่อยู่ในทางนำ และคนอื่นที่เห็นต่างจากคุณอยู่ในความหลงผิด แน่นอนบุคคลที่ตั้งตนเป็นตุลาการพิพากษาคนอื่นก็จะอ้างว่า ผมหรือเราก็ใช้กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินนั่นเอง
แน่นอนกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺคือสัจธรรม คือบรรทัดฐานในการตัดสินพิพากษาความถูกผิด ทางนำและการหลงทาง คำพูดช่นนี้ถูกต้องและไม่มีผู้ใดอาจหาญปฏิเสธว่าไม่จริง แต่สิ่งที่ต้องถามกลับไปก็คือว่า คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าความเข้าใจและการเข้าถึงเจตนารมภ์แห่งบรรทัดฐานอันเป็นสัจธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในความเข้าใจของคุณที่มีต่อบรรทัดฐานนั้น
ความเข้าใจเป็นเรื่องหนึ่ง บรรทัดฐานเป็นเรื่องหนึ่ง สัจธรรมและความถูกต้องอยู่กับบรรทัดฐานเสมอ แต่ความเข้าใจนั้นอาจผิดพลาดและคลาดเคลื่อนได้ เพราะความเข้าใจเป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง แต่บรรทัดฐานคือสัจธรรมอันสมบูรณ์ ความบกพร่องเกิดขึ้นได้เสมอสำหรับความเข้าใจของมนุษย์ แต่บรรทัดฐานอันหมายถึงกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺนั้นมนุษย์อาจจะเกิดความบกพร่องในการทำความเข้าใจของตนที่มีต่อบรรทัดฐานนั้นก็เป็นได้ แล้วก็มีตัวอย่างมานักต่อนักแล้วด้วยว่าเรื่องความเข้าใจที่บกพร่องนี้เกิดขึ้นจริง
ที่ผมกล่าวมานี้มิได้หมายความว่า เรื่องถูกผิดตัดสินกันไม่ได้เลย ต้องรอวันพิพากษาเพียงอย่างเดียว “ผมมิได้มุ่งหมายเช่นนั้น” แต่ผมกำลังบอกให้เราหวนกลับมาพิจารณาตัวของเราเองเสียก่อนว่าเราอยู่ในสถานะใดต่างหาก ก่อนที่เราจะตัดสินผู้อื่นถึงบั้นปลายของเขานั้น เราตัดสินตัวเราว่าอย่างไร? คนอื่นนั้นถึงแม้เราไม่ตัดสินเขา ท้ายที่สุดเขาก็ย่อมถูกตัดสินอยู่ แต่ตัวเรานี่สิเราตัดสินตัวเราเองแล้วหรือยังว่าเราเป็นเช่นใด ณ ขณะนี้ และขณะเบื้องปลายที่จะมาถึง ซึ่งถ้าหากเรายังตัดสินตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นเรื่องยาก) แล้วเราจะเที่ยวไปตัดสินคนอื่นได้อย่างไร?
والله ولي التوفيق والهداية