وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
ดูเหมือนหัวข้อที่ตั้งจะไม่ตรงกับคำถามนะครับ เพราะที่ถามมาเป็นเรื่องของการอธิบายความอายะฮฺ อัล-กุรอาน สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ อายะฮฺที่ 59 ตรงประโยคที่ว่า :
يا أيها الذين آمنوا أطيعوا االله وأطيعوا الرسول وأولي الأمر منكم { الآية }
ซึ่งมิใช่ประเด็นของชะฮาดะฮฺที่กลุ่มชีอะฮฺกล่าว ถึงแม้ว่านัยของซะฮาดะฮฺที่กลุ่มชีอะฮฺกล่าวเพิ่มถึงการเป็นวะลียุลลอฮฺและหุจญะตุลลอฮฺของท่านอิหม่ามอะลี (ร.ฎ.) จะมีหลักคิดและความเชื่อมาจากการอธิบายความหมายของอายะฮฺนี้และอายะฮฺอื่นๆ ตามแนวทางของพวกเขาก็ตาม
สำหรับคำว่า وأولي الأمر منكم นั้นอุละมาอฺฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ อธิบายความว่าหมายถึง บรรดาผู้ปกครองมุสลิม (อัล-หุกกาม วัล-อุมะรออฺ) และบรรดานักปราชญ์ (العلماء) เพราะนัยของอายะฮฺที่ 59 นี้เป็นเรื่องที่ผูกพันเกี่ยวข้องกับอายะฮฺก่อนหน้า คืออายะฮฺที่ 58 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ ซึ่งระบุถึงความสำคัญของอะมานะฮฺ และการตัดสินด้วยความยุติธรรมอันเป็นภาระกิจของฝ่ายปกครอง
และผูกพันเกี่ยวข้องกับอายะฮฺถัดมา คือ อายะฮฺที่ 60 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ ซึ่งระบุถึงพวกยะฮูดียฺและพวกมุนาฟิกที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) แต่กลับไปถือคำตัดสินของ อิบนุ อัล-อัชรอฟ อัล-ยะฮูดี หรือพ่อมดหมอผีของญุฮัยนะฮฺ ดังนั้นตามคำอธิบายที่ฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺว่า \"อุลิลอัมริมิงกุม\" หมายถึง บรรดาผู้นำหรือผู้ปกครองมุสลิมหรือบรรดาอุละมาอฺนั้น ย่อมแสดงว่า ฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-ญะมาอะฮฺ มี อุลิลอัมริมิงกุม เช่นกัน
และการเชื่อฟังและปฏิบัติตามอุลิลอัมริมิงกุมเป็นการเชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยมีเงื่อนไข (إطاعةمُقَيَّدَة) คือจะต้องไม่ขัดกับการชี้ขาดตัดสินของอัลลอฮฺ (อัล-กุรอาน) และ รสูล (อัส-สุนนะฮฺ) หากขัดก็ห้ามในการปฏิบัติตามและเชื่อฟัง เพราะการเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำ, ผู้ปกครองหรือบรรดาอุละมาฮฺนั้นมิใช่เป็นการเชื่อฟังและปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง (إطاعةمطلقة)
ซึ่งต่างจากการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำตัดสินของอัล-กุรอานและสุนนะฮฺที่จำเป็นต้องเป็นไปโดยไม่มีเงื่อนไขหรือการโต้แย้ง เราจะสังเกตุได้ว่าในอายะฮฺที่ 59 สูเราะฮฺอัน-นิสาอฺให้สำนวนคำสั่งว่า أطيعوا พวกท่านจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามเหมือนกันทั้ง أطيعوا االله และ أطيعوا الرسول กล่าวคือ การเชื่อฟังอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับการเชื่อฟังรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) การเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็คือการเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) นั่นเอง
ในสำนวนของการปฏิบัติตามและเชื่อฟัง “อุลิลอัมริมิงกุม” นั้น ในสำนวนของอายะฮฺไม่ได้มีการกล่าวประโยคคำสั่งซ้ำ กล่าวคือ ไม่ได้กล่าวว่า : وأطيعوا أولي الأمر منكم แต่ใช้การเชื่อมประโยคด้วย อักษรวาวฺ เป็นตัวเชื่อมใจความเท่านั้น คือ กล่าวว่า : وأولي الأمر منكم จึงบ่งชี้ว่าการเชื่อฟังและปฏิบัติตามอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นไปโดยไร้เงื่อนไข เรียกว่า إطاعةمُطلَقَة ส่วนการเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำหรืออุละมาอฺนั้นเป็นการเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่มีเงื่อนไข إطاعةمُقَيَّدَة กล่าวคือต้องสอดคล้องและตรงกับคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และ รสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งถ้าหากว่าตรงและสอดคล้องหรือไม่ขัดแล้วก็จำเป็นที่ผู้ตามหรือผู้ถูกปกครองต้องปฏิบัติตาม
อายะฮฺนี้ยังใช้ให้ผู้ศรัทธานำเอาประเด็นปัญหาที่ขัดแย้งกันทั้งในเรื่องทางโลกและทางศาสนาย้อนกลับไปยังกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ ซึ่งสิ่งดังกล่าวย่อมมีความจำเป็นในการนำเรื่องนั้นๆ ซึ่งนัยของตัวบททั้งอัล-กุรอานและอัล-หะดีษไม่ได้ระบุไว้อย่างเด็ดขาดชัดเจนกลับไปยังบรรดาอุละมาอฺที่เป็นฟุเกาะฮาอฺ เพราะพวกเขาคือผู้ที่รู้จักบรรดาหุก่มต่างๆ และวิเคราะห์หุก่มได้เป็นอย่างดีจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ (ดูเชิงอรรถ อัยสะรุต ตะฟาสีร ลิ กะลามิล อะลียฺ อัล-กะบีร ; อบูบักร ญาบิร อัล-ญะซาอิรียฺ เล่มที่ 1 หน้า 497)
อัส-สัยยิด ศิดดีก อิบนุ หะสัน อัล-กินูญียฺ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : “อุลุล-อัมริ\" คือบรรดาอิหม่าม สุลฏอน กอฎียฺ และผู้นำที่ชอบธรรมตลอดจนผู้ปกครองที่มีความยุติธรรม เช่น บรรดาเคาะลีฟะฮฺ อัร-รอชิดีน และผู้ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นจากบรรดาผู้ที่ได้รับทางนำ อีกทั้งทุกๆ บุคคลที่มีอำนาจปกครองตามศาสนบัญญัติ (วิลายะฮฺ ชัรอียะฮฺ) มิใช่ผู้มีอำนาจปกครองแบบฏอฆูต (อธรรม)
และการปฏิบัติตามเชื่อฟังพวกเขา (อุลุล-อัมริ) หมายถึงในสิ่งที่พวกเขาใช้ให้กระทำและห้ามปรามตราบใดที่ไม่เป็นการฝ่าฝืน ฉะนั้นย่อมไม่มีการปฏิบัติตามเชื่อฟังต่อมัคลูกในการฝ่าฝืนคอลิก (พระผู้สร้าง) ดังที่มีการระบุอย่างถูกต้องจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) และ ญาบิร อิบนุ อับดิลลาฮฺ และมุญาฮิดกล่าวว่า : แท้จริง \"อุลิล อัมริ\" พวกเขาคือชาวอัล-กุรอานและความรู้ (أهل القرآن والعلم) และตามนี้มาลิกและอัฎ-เฎาะหาก กล่าวเอาไว้
และมีรายงานจากมุญาฮิดว่า แท้จริงพวกเขาคือบรรดาเศาะหาบะฮฺของนบีมุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) อิบนุกัยสานกล่าวว่า : คือบรรดาผู้มีปัญญาและทัศนะ (أهل العقل والرأي) และจากอิบนุอับบาส (ร.ฎ.) ว่า : พวกเขาคือบรรดาฟุเกาะฮาอฺและบรรดาอุละมาอฺที่สั่งสอนผู้คนให้รู้ถึงหลักคำสอนศาสนาของพวกเขา เป็นคำกล่าวของอัล-หะสัน, อัฎ-เฎาะหาก และมุญาฮิด
และที่มีน้ำหนักคือคำกล่าวแรก (บรรดาอิหม่ามและผู้นำ ฯลฯ) เนื่องจากมีบรรดาหะดีษที่ถูกต้องรายงานจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่าสั่งใช้ให้ปฏิบัติตามเชื่อฟังบรรดาผู้นำและบรรดาผู้ปกครองในสิ่งที่เป็นไปเพื่อสิทธิอันชอบของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และบรรดามุสลิม...” (ฟัตหุล บะยาน ฟี มะกอศิดิลกุรอาน เล่มที่ 3/155)
และอายะฮฺนี้มีนัยครอบคลุมหลักมูลฐานของชะรีอะฮฺทั้ง 4 คือ กิตาบุลลอฮฺ สุนนะฮฺ อิจญมาอฺ และกิยาส ส่วนกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺก็คือประโยคที่ว่า أطيعوا االله وأطيعوا الرسول ส่วนประโยค وأولي الأمر منكم นั้นบ่งชี้ว่า การอิจญมาอฺของอุมมะฮฺนั้นเป็นหลักฐาน เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) สั่งใช้ให้เชื่อฟังพวกเขาในเชิงเด็ดขาด ซึ่งสิ่งนี้ย่อมนำพาไปสู่การมีมติร่วมกันในเรื่องนั้น และ อุลิล-อัมรฺ ก็หมายถึง \"อะฮฺลุลหัลลฺ วัล-อักดฺ\" และประโยคที่ว่า : فإن تنازعتم في شيء فردوه إلى الله والرسول บ่งชี้ว่าการกิยาสเป็นหลักฐาน
ดังนั้นการย้อนกลับไปยังกิตาบุลลฮฺและสุนนะฮฺจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากพบว่ามีข้อชี้ขาดดังกล่าวในกิตาบุลลอฮฺก็ให้ยึดตามนั้น ถ้าหากไม่พบในกิตาบุลลอฮฺก็ดูในสุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ถ้าหากไม่พบในสุนนะฮฺ หนทางของมันก็คือการอิจญติฮาด ซึ่งมี 2 ระดับ หนึ่งก็คือ การอิจญติฮาดที่เห็นพ้องกันของอุมะฮฺ ซึ่งเรียกว่า อิจญมาฮฺ
สองก็คือการเทียบเรื่องที่ไม่มีในตัวบทกับตัวบทที่มีการกล่าวถึงเหตุผล (อิลละฮฺ) เอาไว้โดยใช้เหตุผลในตัวบทเป็นบรรทัดฐานในการให้ข้อชี้ขาดแก่สิ่งที่ถูกนำมาเทียบ เรียกว่าการกิยาส ซึ่งในกรณีที่มีตัวบทชัดเจนเด็ดขาดทั้งในอัล-กุรอานและอัล-หะดีษหรืออันหนึ่งอันใดจากทั้งสองนั้นก็ไม่อนุาตให้ใช้การอิจญติฮาด โดยเฉพาะกรณีของการกิยาส
ดังนั้นเมื่อเราอธิบายคำว่า وأولي الأمر منكم ในอายะฮฺที่ 59 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺว่าหมายถึงบรรดาผู้นำมุสลิมที่ชอบธรรมและบรรดาอุละมาอฺที่มีคุณสมบัติในการวิเคราะห์ข้อชี้ขาดจากตัวบทในอายะฮฺที่ 83 ซึ่งระบุว่า ولو رَدُّوه إلى الرسول وإلى أولي الأمر منهم لَعَلِمَه الذين يستنبطونه منهم คำว่า وإلى أولي الأمر منهم ก็ย่อมมีความหมายเหมือนกันในอายะฮฺที่ 59 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺที่กล่าวมาแล้ว
เฉพาะอย่างยิ่งในอายะฮฺที่ 83 นี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า บรรดาผู้นำหรือบรรดาอุละมาฮฺที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ใช้ให้ย้อนกลับไปหาพวกเขาหลังจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นมีคุณสมบัติในการวิเคราะห์หรืออิจญติฮาดเมื่อมีการกระจายข่าวที่ลือกันเกี่ยวกับชัยชนะของมุสลิมและข่าวความมั่นคงของรัฐอิสลามโดยพละการ แต่ควรให้เป็นความรับผิดชอบของผู้นำซึ่งในยุคของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็คือตัวท่านเองหรือบรรดาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ก็จะรวมถึงบรรดาผู้นำหรือผู้ปกครองในยุคต่อมา
ซึ่งแน่นอนคำพูดที่ว่า ฝ่ายอะฮิลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่มีตรงจุดนี้คือ เรื่องการเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำมุสลิมหรือบรรดาอุละมาอฺนั้นจึงเป็นสิ่งที่ค้านกับข้อเท็จจริง และการพูดว่าฝ่ายของตนมีตรงจุดนี้นั้นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อตามวิธีการของพวกเขา ทั้งนี้เพราะคำอธิบายของพวกเขาเกี่ยวกับนัยของ \"อุลุล-อัมริ\" ในอายุฮฺที่ 59 หมายถึงบรรดาอิหม่ามมะอฺศูม หรืออิหม่าม 12 ท่านตามหลักอะกีดะฮฺของพวกเขามิใช่บรรดาผู้นำมุสลิม ผู้ปกครอง หรือบรรดาอุละมาอฺมุจญตะฮิดที่ฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ได้อธิบาย
กล่าวคือ พวกเขาอาศัยรายงานที่ระบุว่าอายะฮฺถูกประทานลงมาในส่วนของประโยค وأولي الأمر منكم เป็นเรื่องของท่านอะลี (ร.ฎ.) เช่น สะลีม อิบนุ กอยสฺ อัล-ฮิลาลียฺ รายงานจากท่าน อะลี (ร.ฎ.) ว่า :
“ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : บรรดาผู้มีส่วนร่วมของฉันซึ่งอัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพวกเขาคู่กับพระองค์และฉัน และทรงประทานลงมาในเรื่องของพวกเขา (คือ อายะฮฺที่ 59 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ) ฉะนั้นหากพวกท่านเกรงว่าจะเกิดการขัดแย้งในเรื่องใดแล้ว พวกท่านจงเอาเรื่องนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺและรสูลและอุลิลอัมริ\" ฉัน (ท่านอะลี (ร.ฎ.)) กล่าวว่า : โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ พวกเขาคือใคร? ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ท่าน (หมายถึงท่านอะลี (ร.ฎ.)) คือบุคคลแรกของพวกเขา (ชาวาฮิดุตตันซีล ; อัล-หากิม อัล-หัสกานียฺ, เบรุต เล่มที่ 1/148-152 โดยรายงานนี้เป็นหนึ่งจากหะดีษจำนวน 5 บทในการอธิบายอายะฮฺนี้)
และอ้างถึงมุญาฮิดว่า : ในพระดำรัสที่ว่า يا أيها الذين آمنوا หมายถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในหลักเตาฮีด (أطيعوا االله) หมายถึงในบรรดาสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำหนดเป็นฟัรฎู (وأطيعوا الرسول) หมายถึงในบรรดาสุนนะฮฺของท่าน (وأولي الأمر منكم) มุญาฮิด กล่าวว่า : ประทานลงมาในเรื่องของอมีรุลมุอฺมินีน ขณะที่รสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ให้ท่านรักษาการณ์ที่นครมะดีนะฮฺ ท่านอะมีรุลมุอฺมินีนจึงกล่าวว่า : ท่านจะให้ฉันอยู่รักษาการณ์ดูแลบรรดาผู้หญิงและเด็กกระนั้นหรือ? รสูลุลลอฮฺจึงกล่าวว่า : ท่านไม่พอใจที่จะมีสถานะจากฉันด้วยสถานะของฮารูนจากมูซาขณะที่มูซากล่าวแก่ฮารูนว่า : ท่านจงรักษาการณ์หลังจากฉันในหมู่ชนของฉัน และจงกระทำให้ดีกระนั้นหรือ?
ดังนั้น อัลลอฮฺจึงดำรัสว่า : وأولي الأمر منكم มุญาฮิด กล่าว่า : คือท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) พระองค์อัลลอฮฺได้แต่งตั้งให้ท่านดูแลกิจการภายหลังนบี มุฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ในขณะที่นบียังมีชีวิตอยู่เมื่อตอนที่ท่านให้ท่านอะลีอยู่รักษาการณ์นครมะดีนะฮฺ ดังนั้น อัลลอฮฺจึงทรงสั่งใช้บรรดาปวงบ่าวให้เชื่อฟังท่านอะลี (ร.ฎ.) และละทิ้งการขัดแย้งกับท่าน (อะลี ฟิล กิตาบ วัสสุนนะฮฺ ; อัล-ฮัจญี หุสัยนฺ อัช-ชากิรียฺ หน้า 79-80)
การอ้างบรรดาหะดีษในทำนองนี้มีปรากฎในตำราของพวกเขาอีกหลายเล่ม เช่น ตะอฺวีลุลอายาตฺ อัซ-ซอฮิเราะฮฺ ; สัยยิด ชะร่อฟุดดีน อัน-นะญะฟียฺ เล่มที่ 1/133-136, ตัฟสีร อัล-บุรฮาน ; สัยยิด ฮาชิม อัล-บะหฺรอนียฺ เล่ม 1/381-387 มี 32 หะดีษ, อิหฺกอกุลหักฺ ; สัยยิด อัล-มัรอะชียฺ อัน-นะญะฟียฺ เล่ม 3/424 เล่ม 14/348-350 และ ดะลาอิลุศศิดกฺ ; อัล-ลามะฮฺ อัล-มุซอฟฟัร เล่ม 2/291 เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ ฝ่ายพวกเขาอ้างว่าอายะฮฺประทานลงมาในเรื่องของท่านอิหม่ามอะลี (ร.ฎ.) เป็นบุคคลแรกถัดจากท่าน นัยของอายะฮฺนี้ก็ครอบคลุมถึงบรรดาอิหม่ามมะอฺศูมของพวกเขา ตรงนี้เองคือจุดมุ่งหมายในคำพูดของพวกเขาที่ว่า ชาวสุนนะฮฺไม่มีข้อนี้ เพราะชาวสุนนะฮฺไม่เชื่อในเรื่องอิหม่ามสิบสองอย่างพวกเขา
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว อะฮฺลุลสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ก็เชื่อในการเป็นผู้นำของท่านอลี (ร.ฎ.) และท่าน อัล-หะสัน (ร.ฎ.) ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้นำก่อนจะสละตำแหน่งให้แก่ท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ.) และในกรณีการอธิบายของชาวสุนนะฮฺ ที่ว่า อุลิลอัมริ หมายถึง บรรดาอุละมาอฺก็ย่อมรวมบรรดาอุละมาอฺในสายอะฮฺลุลบัยตฺด้วย ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะลูกหลานของท่านอะลี (ร.ฎ.) จากสายของท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) เพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่พวกเขากำหนดว่ามีจำนวนแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ถือว่า เมื่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺที่เป็นอุละมาอฺมีมติเห็นพ้องในเรื่องใดแล้วนั่นก็ถือเป็นส่วนหนึ่งจากอิจญมาอฺของอุมมะฮฺเพราะพวกเขาจะไม่มีมติเห็นพ้องต่อสิ่งที่หลงผิดเช่นเดียวกับอุมมะฮฺที่จะไม่มีมติเห็นพ้องต่อสิ่งที่หลงผิด ตามที่มีหะดีษของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) รับรองเอาไว้ ดังนั้นการยึดถืออิจญมาอฺของอะฮฺลุลบัยตฺย่อมเป็นการยึดถืออิจญมาอฺของอุมมะฮฺ เพราะอะฮิลุลบัยตฺเป็นส่วนหนึ่งของอุมมะฮฺนั่นเอง (มินฮาญุสสุนนะฮฺ ; อิบนุตัยมียะฮฺ 4/105)
และอะฮฺลุลบัยตฺที่เรามุ่งหมายถึงนั้นคือบรรดาลูกหลานของท่านนบี (ร.ฎ.) ที่ยึดมั่นในกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺเท่านั้น หากบุคคลที่เป็นลูกหลานท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) คนใดไม่ปฏิบัติตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ บุคคลผู้นั้นก็ออกนอกสารบบแห่งความมุ่งหมายนั้น เพราะโดยข้อเท็จจริงมีบุคคลที่อ้างความสัมพันธ์ทางเชื้อสายว่าตนเป็นอะฮฺลุลบัยตฺ แต่ปรากฏว่าบุคคลที่อ้างนั้นปฏิบัติตนค้านกับกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ
เราคงไม่วิพากษ์สายรายงานที่อ้างอยู่ในตำราของพวกเขาว่ามีคุณสมบัติเช่นใด โดยเฉพาะสายรายงานที่อ้างถึงมุญาฮิด เพราะนั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่จำต้องอาศัยเวลามากพอสมควรในการวิพากษ์ แต่สิ่งที่เราจะทิ้งท้ายไว้ก็คือ พวกเขามิได้ใช้อายะฮฺนี้เป็นตัวบทในการอ้างหลักฐาน เพราะพวกเขาอาศัยรายงานเรื่องมูลเหตุแห่งการประทาน และตามความเชื่อของพวกเขา บรรดาอิหม่าม 12 ท่าน มีตัวบทที่ชัดเจน (نص جلى) ระบุเอาไว้ แต่อายะฮฺนี้ไม่ใช่ตัวบทที่ชัดเจนในการกำหนดสถานะของอิหม่ามสิบสอง เพราะถ้าชัดเจนก็ไม่จำเป็นต้องอ้างมูลเหตุแห่งการประทานอายะฮฺแต่อย่างใด
และในคำว่า “อุลิล อัมริ มิงกุม” มีนัยบ่งชี้ว่าผู้นำที่มีสถานะเป็นเคาะลีฟะฮฺหรืออิหม่ามนั้นมีความผูกพันกับอุมมะฮฺ คือ เป็นส่วนหนึ่งจากอุมมะฮฺซึ่งพวกเขาถือว่าอุมมะฮฺนี้ที่ไม่เชื่อตามหลักความเชื่อของพวกเขาเป็นอุมมะฮฺที่หลงผิด
สำหรับฝ่ายสุนนะฮฺถือว่าผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามมาจากการคัดเลือกและการมุบายะอะฮฺรับรอง ผู้นำจึงเป็นส่วนหนึ่งของอุมมะฮฺ แต่สำหรับพวกเขาบรรดาอิหม่ามสิบสองมิได้ถูกคัดเลือกและได้รับการมุบายะอะฮฺของอุมมะฮฺ แต่เป็นการกำหนดแต่งตั้งจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) โดยตรงผ่านการลงวะฮียฺให้แก่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) และออกชื่อเสียงเรียงลำดับไว้เสร็จสรรพ
ในกรณีที่ถือว่า อุลิลอัมริ หมายถึงท่านอะลี (ร.ฎ.) และลูกหลานของท่าน ประเด็นตรงนี้ในการกำหนดว่า ใครเป็นลูกหลานของท่านอะลี (ร.ฎ.) แน่นอนกลุ่มอิหม่ามสิบสองก็จะยืนยันตามความเชื่อของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มอื่นๆ ที่อ้างว่าเชื่อในความเป็นวะศียฺของท่านอะลี (ร.ฎ.) และอะฮฺลุลบัยตฺก็มีความเชื่อในตัวบุคคลผู้เป็นอิหม่ามแตกต่างออกไป และพวกเขาต่างก็ตัดสินพวกเดียวกันที่เป็นกลุ่มอื่นว่าเป็นผู้ปฏิเสธ
นั่นจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ในกลุ่มต่างๆ ของพวกเขาก็ขัดแย้งกันเองว่าใครคือ อุลิลอัมริ ที่แท้จริงจนแตกออกเป็นกลุ่มต่างๆ มากมาย และในอายะฮฺนี้ก็ไม่ได้ระบุจำนวนของอิหม่ามเสียด้วย ว่าต้องมีจำนวนเท่านั้นเท่านี้
ที่สำคัญเมื่อพวกเขาไร้ทางออกโดยเฉพาะในยุคที่อิหม่ามลำดับที่ 12 ยังคงหายตัวไม่ปรากฏออกมา พวกเขาก็จำเป็นต้องกำหนดสถานภาพของบรรดาอายาตุลลอฮฺของพวกเขาให้เป็นผู้แทนที่ทำหน้าที่มัรญิอฺทางศาสนา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยจากกรณีของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺที่อธิบาย “อุลิลอัมริ” ว่าหมายถึงบรรดาผู้ปกครองหรืออุละมาอฺ เพียงแต่สถานภาพของบรรดาอายาตุลลอฮฺเหล่านั้นสูงส่งกว่าอุละมาอฺหรือผู้นำของฝ่ายอะฮฺลุสสุนนะฮฺในสายตาของพวกเขาเท่านั้นเอง
والله ﻣﺴﺌﻮل أن يهديناجميعاالى سواءالسبيل