وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
1. มีการยืนยันแน่ชัดปรากฏในบรรดาหะดีษที่เศาะฮีหฺว่า คนตายจะได้ยินเสียงกระทบพื้นรองเท้าแตะของเพื่อนฝูงผู้ตายภายหลังวางศพของเขาลงในสุสาน
ดังมีรายงานจากอนัส อิบนุ มาลิก (ร.ฎ.) ว่า แท้จริงท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : แท้จริงบ่าวนั้นเมื่อเขาถูกวางลงในหลุมศพของเขา และบรรดาเพื่อนฝูงของเขาได้ผินหลังไปจากเขาแล้ว แท้จริงบ่าวนั้นย่อมได้ยินเสียงกระทบพื้นรองเท้าแตะของพวกเขาอย่างแน่นอน” (บันทึกโดย มุสลิม หะดีษเลขที่ 2874)
และมีรายงานระบุว่า ภายหลัง 3 วันจากสมรภูมิบัดรฺ ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ยืนเหนือบรรดาผู้ที่ถูกสังหารจากเหล่าผู้ตั้งภาคีในสมรภูมิบัดร์ แล้วท่านก็ตะโกนเรียกบุคคลหลายคนจากพวกนั้นว่า :
โอ้ อบาญะฮฺลินฺ อิบนะ ฮิชาม , โอ้ อุมัยยะฮฺ อิบนะ เคาะลัฟ , โอ้ อุตบะฮฺ อิบนะ เราะบีอะฮฺ , โอ้ ชัยบะฮฺ อิบนะ เราะบีอะฮฺ แน่แท้พวกท่านได้พบสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้ว่าเป็นความจริงแล้วมิใช่หรือ?
แท้จริงฉันก็ได้พบสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันได้ทรงสัญญาไว้กับฉันว่าเป็นความจริงโดยแน่แท้แล้ว!
ท่านอุมัร อิบนุ อัล-คอฏฏอบ (ร.ฎ.) จึงกล่าวว่า : โอ้ ท่านรสูลลุลลอฮฺ! พวกเขาจะได้ยินอย่างไร? พวกเขาจะตอบได้อย่างไรกัน แน่แท้พวกเขาได้กลายเป็นซากศพที่เน่าเหม็นไปแล้ว?
ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ พวกท่านไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันกำลังพูดมากไปกว่าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะตอบได้ก็เท่านั้น
แล้วท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็สั่งให้จัดการกับซากศพของพวกนั้นมันจึงถูกลากและถูกโยนลงในบ่อร้างของทุ่งบัดรฺ” (บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ , มุสลิม , อบูดาวูด และ อัน -นะสาอียฺ)
ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ได้กล่าวถึงบรรดาหะดีษจำนวนหนึ่งซึ่งบ่งชี้ว่าคนที่ตายไปแล้วจะได้ยิน และท่านได้กล่าวว่า : บรรดาตัวบทเหล่านี้และที่คล้ายคลึงกันต่างก็ให้ความกระจ่างว่าคนตายจะได้ยินคำพูดของคนเป็นโดยรวมๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่าการได้ยินของคนตายนั้นจะต้องได้ยินเสมอไป
ทว่าบางทีอาจจะได้ยินในสภาพหนึ่งโดยไม่ได้ยินในอีกสภาพหนึ่ง เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับคนเป็น บางทีคนเป็นก็ได้ยินคำสนทนาของผู้ที่สนทนากับตน และบางทีก็อาจจะไม่ได้ยินเนื่องจากมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา (มัจฺญมูอฺ อัล-ฟะตาวา 5/364)
สำหรับประเด็นปัญหาที่มีผู้กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงปฏิเสธการได้ยินจากคนตายในพระดำรัสที่ว่า إِنَّكَ لَا تُسْمِعُ الْمَوْتَى “แท้จริงท่านย่อมไม่ทำให้บรรดาคนตายไปแล้วนั้นได้ยินดอก” (สูเราะฮฺ อัน -นัมลิ : 80)
แล้วจะกล่าวอ้างว่าคนที่ตายไปแล้วได้ยินอย่างไรกัน? ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ตอบว่า : การได้ยินอันนี้เป็นการได้ยินในเชิงรับรู้ไม่มีผลอันใดติดตามมา และไม่ใช่เป็นการได้ยินที่ถูกปฏิเสธในอายะฮฺดังกล่าว
เพราะจุดมุ่งหมายของสิ่งดังกล่าว (ในอายะฮฺนั้น) คือการได้ยินในเชิงตอบรับและปฏิบัติตาม เพราะพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกำหนดให้ผู้ปฏิเสธเป็นเหมือนคนตายซึ่งจะไม่ตอบรับคำเรียกร้องของผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนเป็นเหมือนเดรัจฉานที่ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่เข้าใจความหมาย
ดังนั้นคนที่ตายถึงแม้ว่าจะได้ยินคำพูดและเข้าใจความหมาย คนที่ตายก็ย่อมไม่สามารถตอบรับคำเชิญชวนของผู้เรียกร้องได้ ไม่สามารถปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้เรียกร้องสั่งใช้ให้กระทำหรือห้ามมิให้กระทำ คนที่ตายจึงเอาประโยชน์ในคำสั่งและคำห้ามนั้นไม่ได้ ในทำนองนั้นแหล่ะ ผู้ปฏิเสธก็เอาประโยชน์ในคั่งและคำห้ามมิได้ ถึงแม้จะได้ยินการโต้ตอบและเข้าใจความหมายก็ตาม (อ้างแล้ว และดูใน อัล-กิยามะฮฺ อัศศุฆฺรอ ; ดร.อุมัร สุลัยมาน อัล-อัชก็อรฺ ; ดารุน-นะฟาอิส (จอร์แดน) หน้า 109-110)
2. การทำบุญในความหมายที่รู้กันดีตามจารีตทางภาษาในบ้านเราก็คือการทำเศาะดะเกาะฮฺด้วยการเลี้ยงอาหาร (التَصَدُّقُ باطْعَامِ الطَّعَامِ) ซึ่งถือเป็นประเภทหนึ่งในการทำทานซึ่งนักวิชาการโดยส่วนใหญ่ในฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺถือว่าเมื่อการทำทานหรือการบริจาคโดยมีเจตนาทำทานหรือบริจาคนั้นให้แก่ผู้ตายก็ถือว่าผลในการทำเศาะดะเกาะฮฺนั้นถึงผู้ตาย
(ดู กิตาบ อัร-รูวฺห์ ; อิบนุ อัล-กอยยิม บทการยืนยันว่าผลบุญของการทำเศาะดะเกาะฮฺนั้นถึงผู้ตาย หน้า 153-154 สำนักพิมพ์ อัล-อีมาน)
โดยเฉพาะเมื่อผู้ทำทานหรือบริจาคตลอดจนการเลี้ยงอาหารนั้นเป็นบุตรหรือญาติพี่น้องของผู้ตายซึ่งผู้ตายได้เคยพากเพียรและกระทำสิ่งที่เป็นเหตุแห่งสายสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ดีเอาไว้ขณะมีชีวิตอยู่ โดยอัล-หะดีษที่อ้างมาในคำถามนั้นแหล่ะเป็นคำตอบ
กล่าวคือ การกระทำด้วยตัวเองของผู้ตายนั้นขาดตอนลงยกเว้น 3 ประการที่จะส่งผลถึงผู้ตาย คือ เศาะดะเกาะฮฺญารียะฮฺ ความรู้ที่ยังประโยชน์ บุตรที่ดีขอดุอาอฺให้ (รายงานโดย มุสลิม , อบูดาวูด , อัตติมีซียฺ อันนะสาอียฺ และอะหฺมัด)
การกระทำที่ดีด้วยการบริจาคทานหรือการเลี้ยงอาหารของบุตรนั้นเป็นความดีที่ส่งผลถึงผู้ตายอย่างแน่นอน ส่วนญาติหรือเพื่อนฝูงนั้นก็เป็นสิ่งที่ผู้ตายเคยพากเพียรในการปฏิบัติดีและเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาขณะยังมีชีวิตอยู่ จึงเข้าอยู่ภายใต้นัยของอายะฮฺที่ว่า “และการที่ไม่มีสำหรับมนุษย์นอกจากสิ่งที่เขาได้พากเพียรเอาไว้” (อัน-นัจญมุ : 39)
อนึ่ง ในกรณีที่ทำทานด้วยการเลี้ยงอาหารนั้นจะต้องไม่จำกัดว่าจะต้องทำในช่วงเวลา 3 วัน 7 วัน เพราะการกระทำดังกล่าวนักวิชาการถือว่าเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) จึงต้องหลีกเลี่ยงและการเลี้ยงอาหารที่เป็นเศาะดะเกาะฮฺนี้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเชิญโต๊ะละบัยมาดุอาอฺเสมอไป
แต่ให้กระทำโดยสะดวก เช่น ซื้อผลไม้ไปเลี้ยงเด็กที่เรียนอัล-กุรอานหรือฟัรฎูอีน การทำอาหารเลี้ยงผู้ละศีลอด การเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ครูสอนอัล-กุรอาน หรืออะไรก็ได้ที่สะดวกแก่เรา ซึ่งการทำเศาะดะเกาะฮฺนั้นเป็นการทำความดีที่ศาสนาส่งเสริม เมื่อผู้เป็นบุตรทำความดี ความดีจากการกระทำของบุตรก็ย่อมส่งผลถึงพ่อและแม่ที่ล่วงลับไปแล้วโดยปริยายจะมีเหนียตอุทิศผลบุญหรือไม่ก็ตาม
3. การขอดุอาอฺให้แก่ผู้ล่วงลับที่เป็นมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและชาวมุสลิมร่วมศาสนาที่ล่วงลับไปแล้วเป็นสิ่งที่กระทำได้และส่งผลต่อผู้ตาย ซึ่งกรณีการขอดุอาอฺให้แก่ผู้ล่วงลับนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้เป็นบุตรเท่านั้นหากแต่ยังรวมถึงผู้อื่นอีกด้วย
والله تعالى وأعلم