وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
กรณีของเงินชดเชยที่ทางบริษัทจ่ายให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตหรือผู้ที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นผู้สาบสูญนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเงินชดเชยตามข้อตกลงทำสัญญาว่าจ้างกับทางบริษัทกรณีพนักงานของบริษัทประสบอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต หรือว่าเป็นเงินชดเชยที่เป็นผลมาจากการทำสัญญาประกันชีวิตกันแน่ เพราะสองกรณีนี้ต่างกัน
หากเป็นกรณีแรก ก็ถือว่าเงินจำนวน 1,500,000 บาท ที่บริษัทจ่ายให้นั้นเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือผู้ที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นผู้สาบสูญ เพราะเป็นสิทธิของพนักงานที่สมควรได้รับเนื่องจากมีข้อตกลงในสัญญาว่าจ้างระบุเอาไว้ หากเป็นกรณีนี้ เมื่อบุคคลที่ผู้ตายได้ลงชื่อไว้ให้เป็นผู้รับเงินชดเชย (คือมารดาของผู้ถามซึ่งก็คือภรรยาของผู้ตาย) ได้ดำเนินการเบิกจ่ายตามขั้นตอนในการกระทำเรื่องแล้ว ก็ให้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาดำเนินการตามขั้นตอนก่อนการจัดแบ่งมรดก
กล่าวคือ ชำระหนี้สินและปลดภาระผูกพันของผู้ตาย กรณีผู้ตายมีหนี้สินหรือมีภาระผูกพัน เช่น การมีคำสั่งเสียให้ดำเนินการในเรื่องการบริจาคแบบสาธารณกุศล เป็นต้น แต่ถ้าไม่มีเรื่องการชำระหนี้หรือไม่มีคำสั่งเสียอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ให้นำทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวมาจัดแบ่งตามวิธีการเรื่องมรดก กล่าวคือ ภรรยาของผู้ตาย (คือมารดาของผู้ถาม) ได้ 1/8 ของทรัพย์มรดก ส่วนที่เหลือให้แบ่งระหว่างบุตรชายของผู้ตายทั้ง 2 คน (คือคุณกับน้องชาย) เท่ากัน โดยเงินจำนวน 1,500,000 บาท
มารดาของคุณมีสิทธิรับมรดกจำนวน 187,500 บาท ที่เหลือจำนวน 1,312,500 บาท แบ่งระหว่างคุณกับน้องชายคนละ 656,250 บาท
แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่สอง คือ เป็นเงินชดเชยเนื่องจากเป็นการทำประกันชีวิต เงินจำนวนดังกล่าวที่บริษัทจ่ายให้แก่ทายาทของผู้เอาประกันที่เสียชีวิตก็ไม่ถือเป็นทรัพย์มรดกตามหลักการของศาสนา โดยทายาทจะมีสิทธิรับเงินดังกล่าวตามจำนวนของเงินต้นที่จ่ายเบี้ยกรมธรรม์เอาไว้เท่านั้น
ส่วนที่เกินจากเงินต้นให้นำไปทำสาธารณกุศล และส่วนที่เหลือตามจำนวนเงินต้นที่ส่งเบี้ยกรมธรรม์เอาไว้ให้นำมาจัดแบ่งตาม สัดส่วนในการแบ่งมรดก คือ ภรรยาของผู้ตาย (มารดาของผู้ถาม) ได้ 1/8 ของวงเงิน ที่เหลือให้แบ่งเท่าๆ กันระหว่างคุณกับน้องชาย
อนึ่งทั้งสองกรณีที่กล่าวมา ถือว่ามารดาของคุณเป็นผู้รับผิดชอบตามคำสั่งเสียหรือพินัยกรรมในการดำเนินการยื่นเรื่องหรือเดินเรื่องขอรับเงินชดเชยจากบริษัทเท่านั้น เพราะเป็นผู้ที่ถูกลงชื่อไว้ในสัญญาว่าจ้างหรือสัญญากรมธรรม์ประกันชีวิตเพียงผู้เดียว ส่วนสิทธิในวงเงินดังกล่าวทั้งสองกรณีให้ถือตามสัดส่วนในการแบ่งมรดกดังที่กล่าวมา
والله أعلم بالصواب