وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
...الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
ดร.ยูสุฟ อัล-ก็อรฺฏอวียฺ ระบุว่า อัล-อามิลูน อะลัยฮา (العامِلُونَ عَلَيْهَا)หมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่ปฏิบัติงานในฝ่ายรักษาทรัพย์ซะกาต บรรดาเสมียน และนักบัญชีที่จะคำนวณรายรับและรายจ่ายเกี่ยวกับซะกาต รวมถึงผู้ทำหน้าที่แจกจ่ายซะกาตแก่ผู้มีสิทธิรับซะกาต (ฟิกฮุซซะกาต เล่มที่ 2 หน้า 620)
บรรดานักวิชาการฟิกฮฺกำหนดว่า เป็นหน้าที่ของอิมาม (ผู้นำ) ที่จะต้องส่งบรรดาผู้ทำหน้าที่จัดเก็บซะกาตออกไปเพื่อเก็บซะกาต (อ้างแล้ว 2/620) และมีเงื่อนไขถูกกำหนดเป็นคุณสมบัติของอามิล (ผู้จัดเก็บซะกาตหรือผู้ทำหน้าที่ในฝ่ายบริหารจัดการกิจการ ซะกาตที่กล่าวมาข้างต้น) ดังนี้
1.เป็นมุสลิม
2.บรรลุศาสนภาวะและมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
3.เป็นผู้มีความซื่อสัตย์ในหน้าที่
4.มีความรู้เกี่ยวกับหลักการว่าด้วยเรื่องซะกาต
5.มีความสามารถและมีความเหมาะสมกับงานที่ตนรับผิดชอบ (อ้างแล้ว 2/626-628)
ดร.ยูสุฟ อัล-ก็อรฺฏอวียฺ มิได้ระบุเงื่อนไขของอามิลที่ทำหน้าที่ในการจัดเก็บซะกาตว่าต้องได้รับการแต่งตั้งจากผู้ปกครองรัฐอิสลามหรือไม่ ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าผู้ปกครองรัฐอิสลามมีภารกิจในการบริหารจัดการเรื่องของซะกาตและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในการรับผิดชอบเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาสภาวะการณ์ในปัจจุบัน อย่างมุสลิมในประเทศไทยเป็นต้น จะเห็นได้ว่า ผู้นำสูงสุดในการบริหารกิจการศาสนาอิสลามคือ จุฬาราชมนตรีและองค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลามตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2540 ซึ่งได้แก่มัสญิด กรรมการอิสลามประจำจังหวัด และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ในพระราชบัญญัติฯ มิได้ระบุถึงเรื่องการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่จัดเก็บซะกาตหรือกำหนดหน้าที่อย่างชัดเจนว่าองค์กรทั้งหมดมีภารกิจในเรื่องการบริหารจัดการงานด้านซะกาต จะมีก็เพียงแต่บางมาตราที่อนุโลมว่าสามารถนำมาอ้างประกอบได้ เช่น มาตรา 18 (4) ออกระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและการจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการประจำจังหวัดและมัสยิด (5) ออกระเบียบวิธีการดดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดซึ่งนี่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
และมาตรา 37 อิมามมีอำนาจหน้าที่ (3) แนะนำให้สัปปุรุษประจำมัสยิดปฏิบัติให้ถูกต้องตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามและกฏหมาย (4) อำนวยความสะดวกแก่มุสลิมในการปฏิบัติศาสนกิจ ข้อนี้ดูเหมือนจะอนุโลมได้ว่าใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ไม่ระบุอย่างชัดเจนอยู่ดีในเรื่องของซะกาต
เมื่อสภาวการณ์และข้อเท็จจริงในบ้านเราเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องอนุโลมว่า หากอิมามประจำมัสยิดได้นำเรื่องการบริหารการจัดการ ซะกาตเข้าบรรจุเป็นวาระในการประชุมของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดแล้วที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการเรื่องซะกาต ก็ให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเสนอมติที่ประชุมแก่สัปปุรุษของมัสยิดเพื่อขอฉันทานุมัติหรือการเห็นชอบให้ดำเนินการเรื่องนี้กับสัปปุรุษได้
ดังนั้นเมื่อได้รับการรับรองหรือฉันทานุมัติจากสัปปุรุษส่วนใหญ่แล้ว อิมามก็ย่อมน่าที่จะมีสิทธิในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จัดเก็บซะกาตได้ ทั้งนี้โดยไม่มีการบังคับสัปปุรุษที่จะออกซะกาตว่าต้องนำซะกาตส่งมอบให้แก่ทางมัสยิดเท่านั้น แต่ให้เป็นไปโดยสมัครใจ เพราะผู้ที่จำต้องออกซะกาตอาจจะสะดวกมากกว่าในการดำเนินการจ่ายซะกาตของตนแก่ผู้มีสิทธิรับซะกาตด้วยตนเอง และเป็นเพราะว่าการทำหน้าที่ของผู้จัดเก็บซะกาตที่ถูกแต่งตั้งจากอิมามในกรณีนี้เป็นเพียงข้ออนุโลมให้กระทำได้ ผู้ทำหน้าที่จัดเก็บซะกาตจึงไม่มีอำนาจเต็มในการบังคับสัปปุรุษที่จะออกซะกาตแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่ถามว่า ผู้ทำหน้าที่จัดเก็บซะกาตซึ่งถูกแต่งตั้งจากอิมามมัสยิดจะเก็บซะกาตเฉพาะซะกาตอัล-ฟิฏร์อย่างเดียวหรือว่าเก็บซะกาตประเภทอื่นด้วยนั้นก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ทางคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดนำเสนอ และได้รับรองเป็นฉันทานุมัติจากสัปปุรุษประจำมัสยิด และขึ้นอยู่กับสภาพของสัปปุรุษในแต่ละพื้นที่ว่าประกอบอาชีพอะไร หากมีการปลูกข้าวหรือเลี้ยงสัตว์หรือค้าขาย เป็นต้น แหล่งที่มาของซะกาตก็จะมีความหลากหลาย จึงต้องพิจารณาตามข้อตกลงที่กระทำเอาไว้เป็นสำคัญ
والله أعلم بالصواب