อากีดะห์ของกลุ่มวาหาบีย์ เรื่องการให้รูปร่างกับอัลลอฮ์  (อ่าน 9544 ครั้ง)

อยากรู้มาก

  • บุคคลทั่วไป
 salam
คือจากที่ผมได้อ่านบทความของพี่น้องที่ชี้แจงเกี่ยวกับอากีดะห์ของกลุ่มวาหาบีย์ เรื่องการให้รูปร่างกับอัลลอฮ์ อย่างนี้เป็นอากีดะห์ของยิวด้วยใช่ไมคับ แล้วถึงขั้นตกมุรตัรไหม? เพราะความเชื่อแบบนี้ไม่อยู่ความเชื่อของบรรพชนและอุลามาอทั้งสลัฟและคอลัฟ แล้วอย่างนี้ความสมบูรณ์ในละหมาดตามหลังพวกเขาจะมีหรือครับ?
ขอให้อาจารย์ชี้แจงความสงสัยของผมให้กระจ่างด้วยครับ
ญาซากั้ลลอฮ์ครับ

อาลี เสือสมิง

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2179
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺมีอะกีดะฮฺว่าอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมี และพระองค์ทรงมีซาตฺอันสูงส่งและบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องทั้งปวง ซาตฺของพระองค์ไม่เหมือนสิ่งใดและไม่มีสิ่งใดเหมือน และพระองค์ทรงมีบรรดาคุณลักษณะอันสูงส่งและบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องทั้งปวง บรรดาคุณลักษณะของพระองค์ (อัศ-ศิฟาต) ไม่เหมือนสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดเหมือน ไม่มีผู้ใดรู้ถึงหะกีเกาะฮฺ (สภาวะอันเป็นจริง) แห่งซาตฺและบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ว่าเป็นอย่างไร?


ผู้ใดกล่าวอ้างว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีซาตฺและบรรดาคุณลักษณะเหมือนหรือคล้ายหรือเทียบได้ได้บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ผู้นั้นไม่ใช่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ แต่เรียกผู้นั้นว่าพวก “มุชับบิฮะฮฺ” และผู้ใดกล่าวอ้างว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีซาตฺเป็นเรือนร่าง เป็นวัตถุ เป็นสสาร มีบรรดาอวัยวะและโครงสร้างตลอดจนมีองค์ประกอบเช่นเดียวกับเรือนร่างของบรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ผู้นั้นไม่ใช่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ แต่เรียกผู้นั้นว่า “มุญัสสิมะฮฺ” และชนทั้งสองกลุ่มนี้เป็นพวกอุตริชนและหลงผิด



และอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ของกลุ่มดังกล่าวถือเป็นอุตริกรรมที่ทำให้ตกศาสนา (บิดอะฮฺมุกัฟฟิเราะฮฺ) ไม่อนุญาตให้อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺละหมาดตามหลังกลุ่มชนดังกล่าว และการละหมาดตามหลังพวกเขาใช้ไม่ได้


ดังน้ัน ผู้ใดกล่าวหาว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นพวกมุญัสสิมะฮฺ หรือ มุชับบิฮะฮฺ หรือมีความเชื่อเช่นเดียวกับพวกยะฮูดียฺ ในส่วนสาระสำคัญที่ขัดกับหลักความเชื่อในศาสนาอิสลามที่เด็ดขาดชัดเจนด้วยตัวบทจากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ การละหมาดตามหลังพวกวะฮฺฮาบียฺของบุคคลผู้นั้นย่อมใช้ไม่ได้ เพราะหากพวกวะฮฺฮาบียฺมีความเชื่อเช่นนั้นจริงตามคำกล่าวหาของผู้นั้น ย่อมแสดงว่าพวกวะฮฺฮาบีมิใช่มุสลิม ผลที่ตามมาก็คือการละหมาด 5 เวลาของผู้ที่กล่าวหาและการละหมาดวันศุกร์รวมถึงวันอีดทั้งสองของผู้ที่กล่าวหาตามหลังอิมามมัสญิดอัล-หะรอมทั้งสองซึ่งเป็นวะฮฺฮาบียฺใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง


เพราะการละหมาดตามหลังพวกมุญัสสิมะฮฺ ซึ่งเป็นอุตริชนที่ตกศาสนา มิใช่เป็นเพียงมักรูฮฺเท่านั้น เพราะนั่นเป็นข้อกล่าวหาที่มิใช่ประเภทของอุตริกรรมที่ไม่ทำให้ตกศาสนา (บิดอะฮฺ ฆ็อยรฺ มุกัฟฟิเราะฮฺ) หากแต่เป็นข้อกล่าวหาที่ตักฟีรพวกวะฮฺฮาบียฺว่ากลายเป็นผู้ตกศาสนาไปแล้ว ผลที่ตามมาในเรื่องนี้ยังรวมถึงการประกอบพิธิหัจญ์และอุมเราะฮฺ การพิทักษ์รักษาดินแดนต้องห้าม การเดินทางไปศึกษาในมหาวิทยาลัยที่นั่น ซึ่งเป็นของพวกวะฮฺฮาบียฺ และ ฯลฯ



ดังนั้น ผู้ใดตัดสินว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺ มุรฺตัด (วัล-อิยาซุบิลลาฮฺ) ก็ต้องพิจารณาถึงผลพวงดังกล่าวให้จงหนัก การไม่เห็นด้วยกับอะกีดะฮฺหรือทัศนะของวะฮฺฮาบียฺจึงเป็นเรื่องหนึ่ง และการตัดสินด้วยข้อกล่าวหาว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นมุญัสสิมะฮฺซึ่งเป็นกาฟิรฺมุรตัดจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุนี้คนที่เรียนมักกะฮฺนานนับสิบปี และคนที่เรียนในมหาวิทยาลัยมะดีนะฮฺ, อุมมุลกุรอ และริยาฎ ต้องเป็นผู้ตอบว่าพวกวะฮาบียฺเป็นมุญัสสิมะฮฺจริงหรือไม่? ส่วนผมไม่ขอตัดสินว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น เพราะการตักฟีรฺเป็นเรื่องใหญ่ที่ผมไม่บังอาจ ส่วนใครตักฟีรฺก็ต้องรับผิดชอบโดยเฉพาะคนที่เคยอยู่เคยเรียนอยู่ที่นั่น


ผมเป็นนักเรียนอิยิปต์จึงไม่ขอเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และอัล-อัซฮัรไม่ได้สอนให้ผมมาตักฟีรฺผู้ใด

والله ولي التوفيق
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2014, 03:38:51 pm โดย อ.อาลี เสือสมิง »