الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
ก่อนอื่นต้องทราบว่าลักษณะของผู้ที่ตายชะฮีดนั้นเสียก่อนว่า เสียชีวิตในกรณีใด เพื่อจะได้พิจารณาถึงประเภทของผู้ตายชะฮีดนั้นว่าจัดอยู่ในประเภทใด ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภท คือ
1.ชะฮีดในฮุก่มของดุนยาและอาคิเราะฮฺ คือผู้ที่เสียชีวิตในการทำสงครามปกป้องศาสนาก่อนที่สงครามจะยุติลง ผู้ตายชะฮีดในประเภทนี้ไม่อนุญาตให้อาบน้ำและละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ศพตามมัซฮับอัชชาฟิอีย์และปวงปราชญ์ และถือว่าการอาบน้ำและการละหมาดให้แก่ศพประเภทนี้เป็นที่ต้องห้าม (กิตาบ อัลมัจญ์มูอฺ ชัรฮุ้ลมุฮัซซับ เล่มที่ 5/221) และหากละหมาดให้ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ (มัฏละอุ้ลบัดฺรอยน์ หน้า 52)
2.ชะฮีดในฮุ่ก่มดุนยา คือ ผู้ที่มีลักษณะภายนอกเช่นเดียวกับประเภทแรกแต่ผู้นั้นได้ยักยอกทรัพย์สงคราม หรือถูกสังหารในขณะหนีทัพ หรือออกสู้สมรภูมิเพื่อแสดงการโอ้อวด ก็ให้ปฏิบัติกับศพของผู้ตายชะฮีดประเภทที่ 2 นี้เหมือนกับประเภทแรก คือ ไม่ต้องอาบน้ำและไม่ต้องละหมาดให้ (อ้างแล้ว 5/225) ยกเว้นในกรณีที่รู้ถึงเจตนาในการออกศึกของเขาว่ามิได้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ให้ปฏิบัติกับศพของเขาเหมือนผู้เสียชีวิตโดยทั่วไป คือ ต้องอาบน้ำ, ห่อศพ, ละหมาด และนำไปฝัง (ฟุรูอุ้ล มะซาอิ้ล 1/174)
3.ชะฮีดในฮุ่ก่มอาคิเราะฮฺเท่านั้น คือ บรรดาชะฮีดที่มิได้เสียชีวิตด้วยเหตุของการทำสงครามปกป้องศาสนา เช่นผู้ที่มีอาการท้องเดินจนเสียชีวิต, คนจมน้ำตาย, คนที่เสียชีวิตขณะเกิดโรคระบาด, ผู้ที่ถูกตึกถล่มทับ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ให้อาบน้ำศพและให้ละหมาดญะนาซะฮฺให้ โดยไม่มีข้อขัดแย้ง (อ้างแล้ว 5/224)
จากที่กล่าวมาคุณ La ก็ต้องพิจารณาว่า คนที่ตายชะฮีดดังที่ถามมาเป็นชะฮีดประเภทใด ถ้าหากเป็นประเภทที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่ต้องละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ศพและถือว่าเป็นที่ต้องห้ามที่จะละหมาดญะนาซะฮฺให้ อีกทั้งการละหมาดนั้นก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นชะฮีดประเภทที่ 3 ซึ่งเรียกว่าชะฮีดอาคิเราะฮฺ กรณีนี้ก็จำเป็นต้องละหมาดญะนาซะฮฺให้ครับ!
والله أعلم بالصواب