الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد ؛
การเลียนแบบ (อัตตะชับบุฮฺ) ชนกลุ่มอื่นที่มิใช่มุสลิมนั้น นักวิชาการได้แบ่งประเภทออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ
1. การเลียนแบบที่อนุญาต (อัลญะวาซฺ) อาทิเช่น การเอาประโยชน์จากวิทยาการที่มีประโยชน์และอารยธรรมความเจริญของสังคมมนุษย์ เช่น การแพทย์, สถาปัตยกรรม, ฟิสิกส์, เคมี, อาวุธยุทธภัณฑ์ ฯลฯ ทั้งนี้เพราะเข้าอยู่ในนัยของหะดีษที่รายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ ว่า : \"การแสวงหาความรู้นั้นเป็นภารกิจจำเป็นเหนือมุสลิมทุกคน\" และเข้าอยู่ในนัยกว้างๆ ของพระดำรัสที่ว่า \"และสูเจ้าทั้งหลายจงตระเตรียมสำหรับพวกเขา (ศัตรูของสูเจ้าทั้งหลาย) ซึ่งสิ่งที่พวกท่านมีความสามารถจากพลัง...\" (อัลอัมฟาลฺ : 61)
2. การเลียนแบบที่เป็นที่ต้องห้าม (อัตตะฮฺรีม) ดังกล่าวคือการเลียนแบบในด้านวิถีชีวิต , จริยธรรม , ประเพณีและจารีตต่าง ๆ อันเป็นสิ่งที่แปลกแยกจากวิถีทางของอิสลามและขัดแย้งกับอัตลักษณ์เฉพาะของประชาคมมุสลิมตลอดจนโครงสร้างทางจริยธรรม ทั้งนี้เป็นเพราะสิ่งดังกล่าวจะนำพาไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์, บุคลิกภาพและความภาคภูมิใจในความเป็นมุสลิม
(เก็บความจากตัรบียะตุ้ลเอาล๊าด ฟิล อิสลาม ; อับดุลลอฮฺ นาซิฮฺ อัลวาน ; เล่มที่ 1 หน้า 142-143)
ดังนั้นขอบเขตของการเลียนแบบชาวตะวันตกหรือชาวตะวันออกที่มิใช่มุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับว่า สิ่งที่ลอกเลียนแบบนั้นเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลามหรือไม่! เป็นสิ่งเฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มชนนั้น ๆ ในเชิงของศาสนา ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติหรือไม่ อาทิเช่น การแต่งกายที่เป็นเครื่องบ่งชี้และแบ่งแยกชนกลุ่มนั้นออกจากชนกลุ่มอื่น เป็นต้นว่า การสวมใส่ชุดจีวร การแต่งกายของนักการศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ในบางครั้งวิถีปฏิบัติที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มซึ่งมิใช่มุสลิม เช่น การไว้หนวดโดยไม่มีการตัดให้สั้น การไม่ไว้เคราก็เป็นสิ่งที่ศาสนาเรียกร้องให้ชาวมุสลิมกระทำสิ่งที่แตกต่างจากกลุ่มชนที่กระทำเช่นนั้น กล่าวคือ ให้ตัดหนวดให้สั้น ให้ไว้เครานั่นเอง ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชนมุชริก , มะญูซ , ยะฮูดี และนัศรอนี จึงเป็นสิ่งที่มุสลิมจำต้องหลีกห่างจากการเลียนแบบกลุ่มชนดังกล่าว ดังมีระบุไว้ในพระวจนะของท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
มุสลิมจำต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง มีอัตลักษณ์บนพื้นฐานของกรอบหลักการที่ศาสนาได้กำหนดวางเอาไว้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของตะวันตกนั้นมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งสิ่งที่สอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสนา อาทิเช่น การรักษาสุขภาวะ ความมีอนามัย การดูแลรักษาสุขภาพ การมีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้วมีอยู่ในหลักคำสอนของศาสนา เพียงแต่มุสลิมในปัจจุบันละเลยและไม่ได้นำมาปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เมื่อมุสลิมปฏิบัติสิ่งเหล่านี้เหมือนอย่างชาวตะวันตกก็ไม่ถือว่าเป็นการเลียนแบบที่ต้องห้ามแต่อย่างใด
ในส่วนของวัฒนธรรมที่มาจากตะวันตกซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนานั้น มุสลิมก็จำต้องยึดหลักคำสอนของศาสนาเป็นมาตรฐาน มิใช่หลับหูหลับตาลอกเลียนแบบเอาอย่าง อาทิเช่น การเปิดเผยเอาเราะฮฺในการแต่งกาย การผสมปนเประหว่างคนต่างเพศ การใช้ชีวิตเสเพล เที่ยวกลางคืน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นที่ต้องห้ามโดยเด็ดขาด มุสลิมที่ดีจึงต้องรู้จักเลือกในการกิน การดื่ม การแต่งกาย การใช้ชีวิตตามกรอบหลักการของศาสนาไม่หลงไปตามกระแส หรือทำตัวเป็นคนไร้จุดยืน ซึ่งศาสนาเรียกว่า อิมมะอะฮฺ (اِمَّعَةٌ)
กล่าวคือ ใครเขาทำอะไรกันอย่างไร เราก็เอากับเขาด้วยโดยไม่พิจารณาว่าถูกหรือผิด ทุกสิ่งที่ใหม่และเก่านั้นถึงแม้ว่าจะมีต้นตอที่มาจากตะวันตกและถูกใช้ในสังคมของเรานั้นก็มิได้หมายความว่าเป็นที่ต้องห้ามไปเสียทั้งหมด หากแต่ปะปนกันไประหว่างสิ่งที่สอดคล้องกับหลักการและสิ่งที่ขัดต่อหลักการ ดังนั้นการใช้ดุลยพินิจในการเลือกนำมาใช้ นำมาปฏิบัตินั้นจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อชี้ขาดตามหลักนิติธรรมอิสลามเป็นสำคัญ ขอย้ำ!
والله أعلم