الحمدلله وكفىوالصلاة والسلام على عبده المصطفى وعلىآله الطاهرين وبعد ؛
ระยะ เวลานับตั้งแต่นบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) จนถึงนบีมุฮำหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นเป็นเรื่องที่ยากในการกำหนดจำนวนปี เนื่องจากเราไม่ทราบแน่ชัดว่านบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) มีอายุขัยเท่าไร? ตลอดจนเราไม่ทราบแน่ชัดว่านบีนัวฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) มีอายุขัยจริง ๆ เท่าไร? สิ่งที่รู้แน่ชัดก็คือโลกใบนี้มีมาก่อนที่นบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) จะลงมาจากสวรรค์ ซึ่งอายุของโลกใบนี้เป็นไปได้ว่าผ่านช่วงระยะเวลามาเนิ่นหลายแสนหลายล้านปี
ดังนั้น การระบุช่วงเวลาของโลกว่าอยู่ในช่วงยุคน้ำแข็ง ยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ทางธรณีวิทยาจึงไม่ขัดกันเพราะโลกมีมาก่อนมนุษย์ นักวิชาการระบุว่าพวกญินเคยอยู่ในโลกนี้มาก่อนที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะสร้างนบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) เป็นเวลาเนิ่นนาน ดังจะสังเกตได้จากคำถามของบรรดาม่าลาอิกะฮฺที่ระบุว่า พระองค์จะทรงกำหนดให้ผู้ทำลายล้างและหลั่งเลือดในโลกกระนั้นหรือ ซึ่งเวลานั้นนบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) ยังไม่ถูกสร้างแสดงว่าม่าลาอิกะฮฺเหล่านั้นเคยรับรู้ถึงสิ่งที่ถูกสร้างที่ อยู่ในโลกมาก่อนแล้วซึ่งอาจจะเป็นญินก็ได้
การที่นักธรณีวิทยา กำหนดอายุขัยของโลกก็อาศัยการคาดคะเนจากชั้นหิน ซากฟอสซิลและการทดสอบโดยใช้คาร์บอน 14 ซึ่งเป็นธาตุองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดธาตุหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดเป็นการคาดคะเนโลกจึงมีอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ระบุก็เป็นได้ เราต้องแยกระหว่างอายุของมนุษย์ที่อาศัยและสืบเผ่าพันธุ์ในโลกกับอายุขัยของ ดาวนพเคราะห์ดวงนี้ซึ่งมีอายุเก่าแก่และนมนานมาแล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าขัดต่อหลักอะกีดะฮฺแต่อย่างใด
ดังนั้น ระยะเวลาของมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้นับแต่แรกจึงเป็นเรื่องของการประมาณการ ทั้งนี้เพราะยุคของประวัติศาสตร์ที่มีการระบุเอาไว้อาจจะมีระยะเวลา 5,000 ถึงหมื่นปี แต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือยุคดึกดำบรรพ์นั้นอาจจะมีระยะเวลาที่ย้อนกลับ ไปในอดีตนานแสนนานเลยทีเดียวเพราะโครงกระดูกของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ ถูกค้นพบนั้นมีอายุถึง 5 แสนปีเลยทีเดียว มนุษย์คนแรกคือนบีอาดัม (อ.ล.) อาจจะมีอายุย้อนกลับไปนานกว่านั้นอีกก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราไม่รู้แน่ชัดว่าระยะเวลานับแต่นบีอาดัม (อ.ล.) จนถึงนบีมุฮำหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะมีระยะเวลาเท่าใด? แต่สิ่งที่รู้แน่ชัดก็คือระยะเวลาของท่านนบีมุฮำหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จนกระทั่งถึงยุคของพวกเรานี้มีระยะเวลาร่วมๆ 1,500 ปี อันนี้แน่ชัดและสำคัญกว่า
ส่วนยุคเหล็กนั้นเป็นยุค หลังสัมฤทธิ์มีอายุย้อนกลับไปราว 2 พันปีก่อนคริสตกาล การใช้เหล็กเป็นอาวุธและเครื่องใช้คงจะเริ่มต้นในสมัยอาณาจักรของพวกฮิตไทน์ ซึ่งสถาปนาอาณาจักรของพวกเขาจากเอเชียไมเนอร์จนถึงซีเรียตอนเหนือในราว ศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่าพวกฮิตไทน์นี่แหล่ะเป็นพวกแรกที่คิดค้นการหลอมเหล็กขึ้นใช้ทำ เครื่องมือและอาวุธเหล็ก การใช้เหล็กทำเกราะป้องกันในการทำสงครามนั้น
ท่านศาสดาดาวูด (อะลัยฮิซซลาม) เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้วยการอำนวยของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังมีระบุเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ท่านนบีดาวูด (อะลัยฮิซซลาม) มีชีวิตอยู่ราว 1010-970 ก่อนคริสตกาลคืออยู่หลังยุคของพวกฮิตไทน์นั่นเอง
ส่วนไดโนเสาร์นั้นก็เป็นมัคลู๊กที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงสร้างเอาไว้ในยุคโบราณและสูญพันธุ์ไปหมดสิ้นแล้ว ส่วนที่ว่าคนมาจากลิงหรือไดโนเสาร์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว อันนี้เป็นทฤษฎีของชาร์ล ดาวิน ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ทฤษฎีของบุคคลผู้นี้ถูกหักล้างและวิภาษณ์จนเป็นเพียงทฤษฎีกำมะลอ แต่ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของตะวันตกทำให้ทฤษฎีนี้แพร่หลายจนระบาดไปทั่ว
กล่าว โดยสรุปก็คือ คนมาจากคนคือนบีอาดัม (อะลัยฮิซซลาม) มิได้มาจากลิง แต่ถ้าใครอยากจะมีโคตรเหง้าศักราชเป็นลิงหรือลูกอ๊อดก็เชิญ ไม่ขอเถียงให้เสียเวลา ไดโนเสาร์ก็มาจากแม่ไดโนเสาร์นั่นแหล่ะ มันคงมิได้มีวิวัฒนาการอย่างที่ชาร์ล ดาวิน เข้าใจหรอก เจ้ามังกรโคโมโด หรือกิ้งก่าอีกัวน่าที่วิ่งเพ่นพ่านอยู่ที่หมู่เกาะกลาปาก๊อส ให้ชาร์ล ดาวินชมนั้นมันก็สืบลูกสืบหลานมาจากต้นตระกูลของมันนั่นแหล่ะ ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้กิ้งก่าก็ยังคงเป็นกิ้งก่า ไม่เห็นมันกลายเป็นช้างไปได้ ลองหาซื้อ VCD สารคดีของฮารูน ยะฮฺยาในเรื่องหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวินมาดูสิครับแล้วจะพบความจริง อินชาอัลลอฮฺ อ้อ...เจ้า VCD นี้หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสืออิสลามกรุงเทพฯ ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย เข้าใจว่ามีขายที่นั่น
เรื่องนู๊รมุฮำมัดนั้น ขอนำคำฟัตวาของท่านชัยคฺ อะฏียะฮฺ ซ็อกรฺ มาถ่ายทอดดังนี้ เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า สถานภาพหรือตำแหน่งของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นยิ่งใหญ่และเกียรติยศของท่านสำคัญยิ่งนัก บรรดาตัวบทในเรื่องดังกล่าวเป็นที่รู้กันมากเกินกว่าจะนำมากล่าว และมากมายเกินที่จะกำหนดเจาะจงได้
พระดำรัสที่ว่า : \"และเรามิได้ส่งท่านมาเพื่ออื่นใดนอกจากเป็นความเมตตาสำหรับโลกทั้งผอง\" (อัลอัมบิยาอฺ : 107) และพระดำรัสที่ว่า : \"มุฮำมัดมิได้เป็นบิดาของผู้หนึ่งผู้ใดจากบรรดาบุรุษของพวกท่าน หากแต่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺและสุดท้ายแห่งบรรดาศาสดาประกาศก\" (อัลอะฮฺซาบ : 40)
และพระวจนะของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ที่ว่า : อุปมาตัวฉันและบรรดาศาสดาประกาศกก่อนหน้าฉัน อุปมัยดั่งชายผู้หนึ่งได้สร้างบ้านหลังหนึ่งและเขาก็ตบแต่งบ้านนั้นอย่างสวย งาม ยกเว้นที่ของอิฐก้อนหนึ่งจากมุมหนึ่งของบ้านหลังนั้น แล้วผู้คนก็เริ่มเดินวนรอบบ้านหลังนั้นและแสดงความประหลาดใจพลางกล่าวว่า : ไฉนหนออิฐก้อนนี้จึงมิถูกวางลงไป!! ท่านนบีกล่าวว่า : \"ฉันคืออิฐก้อนนั้นและฉันคือศาสดาประกาศกคนสุดท้าย\" (รายงานโดยมุสลิม)
และพระวจนะที่ว่า : ฉันคือนายของลูกหลานของอาดัมในวันกิยามะฮฺและเป็นบุคคลแรกที่สุสานนั้นเปิด ออก และเป็นผู้ขอความอนุเคราะห์คนแรกและเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิในการอนุเคราะห์ นั้นเป็นผู้แรก (รายงานโดยมุสลิม) ทั้งหมดนี้คงเพียงพอแล้ว ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ตามสิ่งนี้และสิ่งอื่นย่อมไม่มีความต้องการไปยังการอุปโลกน์เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราจะเพิ่มเกียรติและการยกย่องแก่ท่านเข้าไปอีก.....
หลังจากนี้ เราขอกล่าวว่า : ถูกต้องหรือไม่ที่ท่านนบีได้บอกถึงตัวของท่านเองว่าเป็นมัคลู๊กแรกของ พระองค์อัลลอฮฺ และหะดีษนี้มีหลักศรัทธาตั้งอยู่บนมันหรือไม่ โดยที่ว่า หากบุคคลปฏิเสธแล้วจะเป็นกุฟร์? ในเบื้องต้นเราจะกล่าวว่า : มีหะดีษบางบทถูกรายงานมา โดยบ่งชี้ว่าท่านนบีเป็นมัคลู๊กแรกของอัลลอฮฺ แต่ทว่าหะดีษเหล่านั้นเป็นหะดีษอาฮาดฺเป็นประการที่หนึ่ง และไม่มีการเห็นพ้องถึงความถูกต้องของหะดีษเหล่านั้นเป็นประการที่สองด้วย สิ่งดังกล่าว ผู้ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นกุฟร์แต่อย่างใด
หากแต่ว่าบรรดาหะดีษเหล่านี้จะถูกยอมรับในตำแหน่งของการเน้นถึงการให้เกียรติ แก่ท่านนบี อะลัยฮิซซ่อลาตุ้วัสสลาม และนักวิชาการบางท่านได้พยายามที่จะยืนยันถึงความเป็นสิ่งแรกนี้ด้วยรูป ลักษณ์หนึ่งหรืออย่างอื่น
มีมาในหนังสือ \"อัดดุรฺรุนฺนะซีม ฟี เมาลิดินนบี อัลกะรีม\" ของอิบนุตุฆรุบักฺ ว่า : มีรายงานว่า เมื่อพระองค์อัลลอฮฺได้สร้างอาดัมแล้ว พระองค์ได้ดลใจให้อาดัมกล่าวว่า : โอ้ พระผู้อภิบาล เพราะเหตุใดพระองค์จึงเรียกชื่อนำของข้าพระองค์ว่า : บิดาของมุฮำมัด? พระองค์อัลลอฮฺทรงดำรัสว่า : โอ้ อาดัม เจ้าจงเงยศีรษะของเจ้า! แล้วอาดัมก็เงยศีรษะ อาดัมก็เห็นรัศมีของมุฮำมัดในกระโจมของอะรัช แล้วอาดัมก็กล่าวว่า : โอ้ พระผู้อภิบาล นี่คือรัศมีอะไร? พระองค์ดำรัสว่า : นี่คือรัศมีนบีของข้าที่มาจากวงศ์วานของเจ้า ชื่อของเขาในฟากฟ้าคือ อะฮฺมัด และในผืนพิภพคือ มุฮำมัด มาตรว่าไม่มีเขาผู้นี้ข้าก็ย่อมไม่บังเกิดเจ้าและข้าย่อมไม่สร้างฟากฟ้าและ ผืนแผ่นดิน
อัลกอสฏ่อลานีย์ได้กล่าวไว้ใน \"อัลมะวาฮิบฺ อัลละดุนนียะฮฺ ม่าอ้า ชัรฮิ อัซซัรกอนีย์\" ว่า : สิ่งที่อัลฮากิมได้รายงานไว้ในซ่อฮีฮฺของเขาจากท่านอุมัรเป็นหะดีษมัรฟูอฺ ได้สนับสนุนสิ่งนี้ กล่าวคือ \"แท้จริงอาดัม อะลัยฮิซซลาม ได้เห็นนามชื่อของมุฮำมัดถูกจารึกไว้บนอะรัช และแท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสแก่อาดัมว่า : มาตรว่าไม่มีเขา (มุฮำมัด) ข้าก็ย่อมไม่สร้างเจ้าดอก\" อับดุรรอซซ๊าก ได้รายงานด้วยสายรายงานของเขาจากญาบิรฺ อิบนิ อับดิลลาฮฺ ซึ่งสิ่งที่บ่งชี้ว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกให้เขา (ญาบิร) ทราบว่า แท้จริงรัศมีของท่านคือสิ่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นในเวลานั้นยังไม่ปรากฏมีเลา ฮฺมะฮฺฟู๊ซฺ ปากกา, สวรรค์, นรก, ม่าลาอิกะฮฺ, ฟากฟ้าและผืนแผ่นดิน ...
นอกจากนี้ยังมีบรรดารายงานต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการที่รัศมีนี้ได้ท่องเที่ยวและวนเวียนไปในโลกต่าง ๆ และบรรดาสิ่งที่ปิดกั้นตลอดจนสิ่งเร้นลับทั้งหลาย อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า : ท่านนบีนั้นความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ของท่านได้รับการรับรองเอาไว้ และเมื่อเราประสงค์ที่จะยืนยันถึงความรักของเราที่มีต่อท่าน นั่นก็ปรากฏได้ด้วยการปฏิบัติตามซุนนะฮฺและเคร่งครัดต่อทางนำของท่าน ซึ่งมีวจนะว่า : ผู้ใดรักฉัน ผู้นั้นจงปฏิบัติตามซุนนะฮฺของฉัน (รายงานโดยอบูยะอฺลา ด้วยสายรายงานหะซัน)
และความรักของเราที่ มีต่อท่านคือสื่อสำหรับความรักของอัลลอฮฺ ซึ่งทรงดำรัสว่า \"จงกล่าวเถิด หากปรากฏว่าพวกท่านรักอัลลอฮฺแล้วไซร้ พวกท่านจงปฏิบัติตามฉันเถิด พระองค์อัลลอฮฺจะรักพวกท่าน\" (อาลิ อิมรอน : 31) -อะฮฺซ่านุ้ลกะลาม ฟี อัลฟะตาวา วัลอะฮฺกาม ; ชัยค์ อะฏียะฮฺ ซอกฺร์ เล่มที่ 1 หน้า 31-33) ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ได้กล่าวว่า : ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นถูกสร้างจากสิ่งที่มนุษย์ชาติถูกสร้างจากสิ่งนั้น และไม่มีผู้ใดจากมนุษยชาติถูกสร้างมาจากรัศมี
ยิ่งไปกว่านั้นมีระบุในหะดีษซ่อฮีฮฺจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่าท่านได้กล่าวว่า : แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงสร้างม่าลาอิกะฮฺมาจากรัศมี และสร้างอิบลีสมาจากเปลวไฟ และสร้างอาดัมมาจากสิ่งที่ถูกสาธยายเอาไว้แก่พวกท่าน (รายงานโดยมุสลิม ในเรื่องอัซซุฮฺดุ (2696/60) และความประเสริฐของมัคลู๊กบางส่วนที่เหนือกว่าอีกบางส่วนนั้นมิได้พิจารณา สิ่งที่มัคลู๊กนั้นถูกสร้างมาจากสิ่งนั้นแต่อย่างใด? ทว่าบางทีมุอฺมินถูกสร้างมาจากผู้ปฏิเสธก็มี ผู้ปฏิเสธถูกสร้างมาจากมุอฺมินก็มี อาทิเช่น บุตรของนบีนัวฮฺที่มาจากนัวฮฺ และเช่น อิบรอฮีมมาจากอาซัรฺ
และอาดัมนั้นพระองค์อัลลอฮฺทรงสร้างมา จากดิน เมื่อพระองค์ทรงสร้างรูปของอาดัมอย่างสมสัดส่วนแล้ว พระองค์ก็เป่าวิญญาณเข้าไปยังอาดัม และให้บรรดาม่าลาอิกะฮฺทำความเคารพต่ออาดัม ความประเสริฐของอาดัมที่มีเหนือบรรดาม่าลาอิกะฮฺนั้นก็เป็นไปเนื่องด้วยเหตุ ที่พระองค์สอนให้อาดัมได้รู้ถึงนามชื่อของทุกสิ่ง และด้วยการที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ และอื่นจากนั้น ดังนั้นอาดัมและลูกหลานผู้ประพฤติดีของอาดัมจึงมีความประเสริฐเหนือกว่า บรรดาม่าลาอิกะฮฺ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถูกสร้างมาจากดิน และบรรดาม่าลาอิกะฮฺเหล่านั้นถูกสร้างจากรัศมีก็ตาม ...\" (มัจญ์มูอะฮฺ อัลฟะตาวา 11/56)
ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ ระบุว่า : อัลกุรอานได้ยืนยันถึงการเป็นมนุษย์ของท่านนบีมุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เอาไว้ในหลายที่ด้วยกันและพระองค์ได้ทรงบัญชาให้ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เผยแผ่สิ่งดังกล่าวแก่ผู้คนทั้งหลายเอาไว้ในซูเราะฮฺมากกว่า 1 ซูเราะฮฺ (จงกล่าวเถิด อันที่จริงฉันเป็นมนุษย์เหมือนพวกท่านทั้งหลาย โดยถูฏวะฮีย์มายังฉัน)\" -ซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ : 110- (จงกล่าวเถิด มหาบริสุทธิ์แด่องค์อภิบาลของฉัน ฉันหาได้เป็นอื่นไม่นอกจากเป็นมนุษย์ที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูต) \"ซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ : 93)\" -
ดังนั้นท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จึงเป็นมนุษย์เหมือนผู้คนทั้งหลาย ไม่มีข้อจำแนกยกเว้นด้วยการวะฮีย์และการเป็นศาสนทูต... และท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็ได้เน้นย้ำถึงการเป็นมนุษย์และการเป็นบ่าวของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ....และเมื่อปรากฏว่านบีผู้ยิ่งใหญ่เป็นมนุษย์เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ท่านก็มิได้ถูกสร้างมาจากรัศมีแต่อย่างใด และมิได้ถูกสร้างมาจากทองคำ
อันที่จริงท่านถูกสร้างมาจากน้ำที่พุ่งกระฉูด (น้ำอสุจิ) ที่เกิดจากระหว่างไขสันหลังและทรวงอก นี่ว่ากันถึงธาตุซึ่งท่านนบีถูกบังเกิดมา ส่วนทางด้านการเป็นร่อซู้ลและการชี้นำทางของท่านนั้น ท่านคือรัศมีจากพระองค์อัลลอฮฺ คือ ตะเกียงที่ส่องสว่าง ... (เก็บความโดยสรุปจากฟะตาวา มุอาซิเราะฮฺ ; ดร.ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ เล่มที่ 1 หน้า 178-179)
เรื่องเกี่ยวกับอันนู๊ร อัลมุฮัมมะดีย์ (اَلنُّوْرُالمُحَمَّدِيُّ) นี้มาจากความคิดความเชื่อของอิบนุ อะรอบีย์ ที่พูดถึง \"อัลฮะกีเกาะฮฺ อัลมุฮำมะดียะฮฺ\" ซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากนักมุตะเซาวิฟะฮฺรุ่นก่อนโดยเฉพาะ อัลฮัลลาจญ์ (ดูรายละเอียดในมะฮับบะตุรร่อซู้ล บัยน่า อัลอิตติบาอฺ วัล อิบติดาอฺ ; อับดุรร่ออู๊ฟ มุฮำหมัด อุสมาน ดารุ้ตตัรบียะฮฺ วัตตุร๊อซฺ มักกะฮฺ (1995) หน้า 177-188)
(والله أعلم)