الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
ในหนังสืออัลอะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ ระบุถึงหลักความเชื่อและท่าทีของชาวอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ว่า
(وَلاَنُنَزِّلُ أَحَدًامِنْهُمْ جَنَّةً وَلاَنَارًا)
\"และเราจะไม่นำพาผู้หนึ่งผู้ใดจากพวกเขา (ชาวมุสลิมที่เป็นชาวชุมทิศ) ลงสู่สวรรค์และนรกภูมิ\"
หมายความ ว่า เราจะไม่กล่าวในทำนองเจาะจงเป็นรายบุคคล (ตะอฺยีน) ว่า : คนนั้นคนนี้เป็นชาวสวรรค์ ถึงแม้ว่าผู้นั้นเป็นคนดีก็ตาม และเราจะไม่กล่าวถึงคนมุสลิมที่ประพฤติฝ่าฝืน ถึงแม้ว่าเขาผู้นั้นได้บรรลุถึงในการฝ่าฝืนก็ตามว่า : คนนั้นคนนี้เป็นชาวนรก แต่เราจะกล่าวแบบสรุป ๆ ว่า : บรรดาผู้มีความยำเกรงนั้นจะได้เข้าสู่สวนสวรรค์โดยไม่มีการลงทัณฑ์ และเราจะผูกพันเรื่องนั้นกับบั้นปลาย
ส่วนผู้ใดที่ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกกล่าวว่าผู้นั้นเป็นชาวสวรรค์ เราก็จะนำผู้นั้นลงสู่สวรรค์ หมายถึง เราจะชี้ขาดว่าผู้นั้นเป็นชาวสวรรค์ เช่น บรรดาอัครสาวกทั้ง 10 ท่านที่ถูกบอกข่าวดีด้วยสวนสวรรค์ และเช่นท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ สลาม ซึ่งเคยเป็นชาวยะฮูดีย์ ต่อมาท่านก็เข้ารับอิสลาม และท่านยังเป็นปราชญ์ชาวยะฮูดีย์ ที่มีความรู้มากที่สุด และเช่นเดียวกัน ชาวสมรภูมิบัดรฺ และชาวอัลฮุดัยบียะฮฺ (อิซฮารุ้ลอะกีดะฮฺ อัซซุนนียะฮฺ บิชัรฮิลอะกีดะอฺ อัฏฎ่อฮาวียะฮฺ ; ชัยค์ อับดุลลอฮฺ อัลฮะร่อรีย์ ; ดารุ้ลมะชารีอฺ (1996) หน้า 178)
ท่านอิบนุ อบี อัลอิซฺ อัลฮะนะฟีย์ได้อธิบายข้อความข้างต้นนั้นว่า : เราจะไม่กล่าวถึงบุคคลที่ถูกเจาะจงจากชาวชุมทิศ (อะฮฺลุ้ลกิบละฮฺ) ว่า : แท้จริงเขาผู้นั้นเป็นชาวสวรรค์หรือเป็นชาวนรก ยกเว้นบุคคลที่ท่านร่อซู้ลผู้สัจจริง (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกกล่าวว่าผู้นั้นเป็นชาวสวรรค์ เช่น บรรดาอัครสาวกทั้ง 10 ท่าน (ร.ฎ.) และถึงแม้ว่าเราจะกล่าวว่า : จำเป็นที่ผู้ประพฤติผิดบาปใหญ่จะเข้าสู่นรกภูมิ อันเป็นบุคคลที่พระองค์อัลลอฮฺทรงมีพระประสงค์นำผู้นั้นเข้าสู่นรกภูมิ ต่อมาผู้นั้นก็จะออกจากนรกภูมิด้วยการอนุเคราะห์ (ชะฟาอะฮฺ) ของบรรดาผู้มีสิทธิในการอนุเคราะห์ กระนั้นเราก็จะยุติในกรณีของบุคคลที่ถูกเจาะจง ดังนั้นเราจะไม่ยืนยันสวรรค์และนรกภูมิแก่ผู้นั้นนอกจากเกิดจากความรู้ ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ซ่อนเร้น (ไม่เป็นที่ชัดเจน) ตลอดจนสภาพที่ผู้นั้นได้สิ้นชีวิตลงนั้นเราไม่มีความรู้ต่อสิ่งนั้น แต่ทว่าเราหวังในพระเมตตาแก่บรรดาผู้ประพฤติดี และหวั่นเกรงการลงทัณฑ์ที่จะเกิดกับบรรดาผู้ประพฤติชั่ว (ชัรฮุ้ล อะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ อัลลามะฮฺ อิบนุ อบี อัลอิซฺ อัลฮะนะฟีย์ ; อัสมักตับ อัลอิสลามีย์ (1988) หน้า 378)
จากข้อมูลเบื้องต้นนั้น จึงเป็นที่ทราบกันว่า การกล่าวหาพี่น้องมุสลิมโดยเจาะจงว่าจะต้องลงนรกนั้น เป็นสิ่งที่ค้านกับแนวทางของอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ทั้งนี้เพราะเป็นการพูดในสิ่งที่ตนไม่รู้ กล่าวคือ เราไม่รู้ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีจุดจบแห่งอายุขัยของตนอย่างไร การกล่าวหาดังกล่าวอยู่ในข่ายของการเจือสมเอาเอง (ซ็อน) ซึ่งศาสนามีคำสั่งให้หลีกห่างและการกล่าวหาโดยเจาะจงตัวบุคคลนี้เป็นการ ละเมิดสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) อีกด้วย นรกและสวรรค์เป็นสิทธิของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หาใช่กิจของเราไม่
ส่วนบทลงโทษในกรณีนี้นั้นไม่พบว่ามี นักวิชาการท่านใดอธิบายรายละเอียดเอาไว้ แต่ถือเป็นความผิดในทางศาสนา (دَيْنُوْنَة) ที่ผู้ก้าวล่วงจะต้องถูกสอบสวนและรับผิดชอบตามโทษานุโทษในวันอาคิเราะฮฺ อย่างไรก็ตาม รัฐอิสลาม (หากมี) ก็สามารถกำหนดบทลหุโทษ (อัตตะอฺซีรฺ) แก่ผู้ที่กระทำผิดในเรื่องนี้ตามดุลยพินิจและความเหมาะสมได้ ถึงแม้ว่าการกระทำผิดในเรื่องนี้จะไม่มีบทลงโทษตามคดีอาญา (اَلْحُدُوْد) และการเสียค่าปรับ (الكفّارة) ระบุเป็นตัวบทเอาไว้ก็ตาม (ดูรายละเอียดในอัลฟิกฮุ้ลอิสลามีย์ ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลี่ย์ , เล่มที่ 9 หน้า 680...)
والله أعلم بالصواب