เหตุการณ์สำคัญในเดือนญุมาดิ้ลอูลา
ในเดือนญุมาดิ้ลอูลา ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงทำศึก “อัลอุชัยเราะห์” ณ ที่ราบต่ำยัมบัวอฺ พระองค์ได้ทรงตั้งทัพอยู่ที่นั่นตลอดทั้งเดือนญุมาดั้ลอูลาและในช่วงเดือนญุมาดั้ลอาคิเราะห์อีกหลายคืนด้วยกัน การศึกครั้งนี้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงมีกำลังไพร่พลจำนวน 150 นายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวมุฮาญีรีนทั้งสิ้นและมีกำลังพลอูฐจำนวน 30 ตัว
การศึกครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางกองคาราวานของพวกมุซริกีนมักกะห์ที่ล่องกลับจากแคว้นชามแต่ทว่าเมื่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงนำกำลังพลเดินทางถึงเขตซัลอุชัยเราะห์ ก็ปรากฏว่ากองคาราวานดังกล่าวได้เดินทางล่วงหน้าผ่านไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน ท่านศาสดา (ซ.ล.) และกำลังพลจึงเดินทางกลับสู่นครม่าดีนะห์โดยไม่มีการรบพุ่งใด ๆ เกิดขึ้นในการศึกครั้งนี้
ในเดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 4 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงทำศึก “ซาตุ้รรี่กอ” ซึ่งตามรายงานของอิบนุ อิสหากว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงพำนักอยู่ที่นครม่าดีนะห์หลังเสร็จการศึกกับพวกยิวตระกูล “อันน่าฎิร” ตลอดช่วงเดือนร่อบีอุ้ลอาคิรและต้นเดือนญุมาดั้ลอูลา ต่อมาพระองค์ก็ทรงเดินทัพสู่แคว้น “นัจด์” เพื่อกำหราบพวกตระกูล “มุฮาริบ” และตระกูล “ซะอฺละบะฮฺ” ซึ่งเป็นตระกูลในเผ่า ฆ่อตอฟาน และท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงตั้งท่านอบู ซัรริน อัลฆิฟารีย์เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งนครม่าดีนะห์ แต่ท่านอิบนุ ฮิชาม รายงานว่า บุคคลที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการนั้นคือท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (รฎ.)
ท่านศาสดาและกำลังพลได้เดินทัพจนกระทั่งถึงเขตที่มีต้นอินทผลัมแห่งหนึ่งและที่นั่นนั้นเองก็เกิดศึก ซาตุ้รรีกออฺ ท่านอิบนุ ฮิชามกล่าวว่า เหตุที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าเหล่าอัครสาวกซึ่งร่วมในกองทัพได้ซ่อมแซมหรือปะผืนผ้าที่ใช้เป็นธงรบ บ้างก็กล่าวว่า เหตุที่เรียกเช่นนั้นเพราะที่ตรงนั้นมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งที่ชื่อว่า ซาตุ้รรีกออฺ แต่ท่านอัลว่ากีดีย์บอกว่า สถานที่ตรงนั้นมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งมีลักษณะสีหินเป็นสีแดง สีดำ และสีขาวเป็นแปลง ๆ ดูคล้ายรอยปะผ้า
และในหะดีษของท่านอบีมูซา รายงานเล่าว่า เหตุที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะเนื่องจากเหล่าอัครสาวกที่ร่วมในการศึกครั้งนี้ผูกเศษผ้าที่เท้าของพวกเขาอันเนื่องจากพื้นที่ร้อนจัด ท่านอิบนุ อิสหากรายงานว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) พร้อมด้วยกำลังพลได้เผชิญหน้ากับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งจากเผ่าฆ่อต้อฟาน ทั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนพลเข้าประชิดกันแต่ยังไม่มีการรบพุ่งใด ๆ เกิดขึ้นแต่ทั้งสองฝ่ายก็ได้ตรึงกำลังกันไว้จนกระทั่งฝ่ายกำลังพลมุสลิมเกรงว่าจะมีการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามท่านศาสดา (ซ.ล.) จึงได้ทรงนำละหมาด อัลเค้าฟ์ (ละหมาดในเวลาคับขันในเวลาทำศึก) ไว้เป็นแบบฉบับแก่มวลมุสลิมในการศึกครั้งนี้
อนึ่งการละหมาดอัลเคาฟ์นั้นมีถึงสามลักษณะด้วยกันตามการรายงานของอัลหะดีษ และเกี่ยวกับวันเวลาของการทำศึกซาตุ้รรีกออฺ นี้นั้นมีการรายงานไม่ตรงกันบ้างก็รายงานว่าเกิดขึ้นตอนปลายปีที่ 5 แห่งฮิจเราะห์ศักราชหลังสงคราม ค็อยบัร บ้างก็ว่าเกิดขึ้นเมื่อในช่วงเดือนมุฮัรรอมของปีที่ 5 แห่งฮิจเราะห์ศักราช บ้างก็ว่าในเดือนเชาว๊าลปีที่ 4 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ในเดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 6 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงนำกำลังพลจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าสู่เขตของพวกตระกูล “อัลละห์ยาน” เพื่อสะสางกรณีพิพาทและกำหราบพวกนี้แทนพวก “ร่อเญี้ยะอฺ” ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงเดินทัพเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเขตของพวกตระกูล”อัลละห์ยาน”และท่านศาสดา (ซ.ล.) พร้อมด้วยกองกำลังทหารของพระองค์ก็ได้ลงพักตรงบริเวณหุบเขาแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า “วาดีย์ ฆุรอน”
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงทราบว่าพวกอัลละห์ยานได้ตั้งค่ายอยู่ตามแนวสันเขา พระองค์จึงได้ทรงปล่อยพวกนั้นโดยไม่มีการโจมตีใด ๆ และพระองค์ได้ทรงนำพลทหารม้าจำนวน 200 นายมุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งถึงตำบล “อุซฟาน” พระองค์ได้ทรงส่งทหารม้าสองนายให้มุ่งหน้าต่อไปเพื่อดูสถานการณ์จนกระทั่งทั้งสองได้ลงพักที่ตำบล “กุรออฺ อัลฆ่อมีม” ครั้นต่อมาเมื่อทหารม้าทั้งสองนายได้ย้อนกลับมายังเขตที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) และกำลังพลลงพักรออยู่ ทั้งหมดจึงได้เดินทัพกลับสู่นครม่าดีนะห์ในที่สุด
ท่านอัลฮาฟิซ อัลบัยหะกีย์ได้รายงานจากท่านอัลวากีดีย์ว่า ในช่วงเดือนญุมาดั้ลอูลา ในปีเดียวกันนี้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงส่งท่าน ซัยด์ อิบนุ ฮาริษะห์ (รฎ.) พร้อมกำลังพล 15 นายมุ่งสู่พวกตระกูลซะอ์ละบะฮฺและพวกอาหรับเร่ร่อนเมื่อรู้ว่าท่านซัยด์พร้อมด้วยกำลังพลมาถึงก็พากันหลบหนีแตกกระเจิงทิ้งฝูงอูฐไว้ให้เป็นทรัพย์สงครามจำนวน 20 ตัวและทั้งหมดก็ได้เดินทางกลับสู่นครม่าดีนะห์หลังออกไปปฏิบัติภารกิจเป็นเวลาสี่คืนและในเดือนญุมาดั้ลอูลา ของปีเดียวกันนี้ท่านซัยด์ อิบนุ ฮาริษะห์ (รฎ.) ได้นำกำลังพลจำนวนหนึ่งออกไปยังเขตอัลอัยซ์
วันที่ 27 ญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 13 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพของมุสลิมประจำแคว้นชาม สามารถสร้างความพ่ายแพ้แก่กองทัพโรมันในเมืองอัจนาดีน “มาฮาน” แม่ทัพแห่งกองทัพโรมันได้นำโซ่ตรวนและเชือกผูกล่ามเหล่าไพร่พลของกองทัพโรมันเป็นจำนวนมาก (หนังสืออ้างอิงบางเล่มกล่าวว่า มีไพร่พลถึง 80,000 นาย) เพื่อไม่ให้เหล่าไพร่พลทหารหนีทัพและแตกทัพในสมรภูมินี้ได้มีการนำกำลังพลภายใต้การนำของท่านค่อลิด อิบนุ อัลวะลีดจากอิรักมาร่วมสมทบกับกองทัพแห่งแคว้นชาม อันเป็นไปตามคำสั่งของท่านค่อลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก (รฎ.) การนำกำลังพลจากอิรักมาร่วมสมทบของท่านค่อลิด อิบนุ อัลวะลีดมีส่วนอย่างมากในการได้รับชัยชนะของฝ่ายมุสลิมในสมรภูมิครั้งนี้
ในเดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 857 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ซุลตอนมุฮัมมัด ข่าน อัลฟาติฮฺแห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ได้ทรงมีพระราชสาส์นถึงจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 2 แห่งอาณาจักรโรมันไบแซนไทน์ ในวันที่ 15 ญุมาดั้ลอูลา ปีฮ.ศ.857 (24 พ.ค. 1453) โดยซุลตอนได้ทรงแจ้งให้จักรพรรดิทราบว่า หากพระองค์ทรงส่งมอบกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลแต่โดยดี ซุลตอนก็ทรงให้สัญญาแก่จักรพรรดิว่าจะไม่มีการยุ่งเกี่ยวหรือกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพของชาวเมืองหรือทรัพย์สินของพวกเขาและซุลตอนก็จะทรงมอบ เกาะโมโร (มูเราะห์) แก่จักรพรรดิ แต่ทว่าจักรพรรดิคอนสแตนตินไม่ทรงรับข้อเสนอดังกล่าว
วันที่ 20 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 857 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
(ตรงกับวันที่ 29 พ.ค. 1453) ซุลตอนมุฮัมมัด ข่านที่ 2 อัลฟาติฮฺแห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ได้ทรงประกาศสงครามต่อจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 2 แห่งอาณาจักรโรมันไบแซนไทน์ และซุลตอนได้ทรงมีคำสั่งให้เหล่าทหารหาญของพระองค์ตระเตรียมการยาตราทัพสู่กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลในวันเดียวกันเพื่อเตรียมการพิชิตมหานครแห่งนี้พร้อมทั้งได้ทรงสัญญาต่อกองทัพของพระองค์ว่าจะทรงจัดสรรที่ดินแก่พวกเขาหลังการได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ (ระบบศักดินา)
วันที่ 21 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 950 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพของซุลตอน สุลัยมาน ข่าน อัลกอนูนีย์แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ภายใต้การบัญชาการรบของคอยรุดดีน ปาชาได้เข้ายึดครองเมือง “นีส” ซึ่งเป็นเมืองชายทะเลทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แต่ทว่ากองทัพของอุษมานียะห์ได้ถอนทัพในเวลาต่อมาจากเมืองดังกล่าวภายหลังเกิดการขัดแย้งกันเองระหว่างบรรดาแม่ทัพนายกองของกองทัพแห่งอุษมานียะห์ (เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 22 สิงหาคม คศ.1543)
วันที่ 17 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 979 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพเรือแห่งอุษมานียะห์ได้ประสบความปราชัยต่อกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรชาติคริสเตียนที่ร่วมกันระหว่างเวนิส,สเปน และวาติงกันในสมรภูมิ “ลิบาเนท” (Lepante) อันเป็นหัวเมืองทางทะเลในกรีซตั้งอยู่ตรงบริเวณอ่าว “ลิบาเนท” การยุทธนาวีดังกล่าวได้เกิดขึ้นภายหลังการยึดครองบรรดาหัวเมืองที่ติดชายฝั่งทะเล “เอเดรียติก” ของอิตาลี่โดยกองทัพเรือแห่งอุษมานียะห์ ในช่วงก่อนการยุทธนาวีที่ “ลิบาเนท” นั้นกองทัพเรือแห่งอุษมานียะห์ได้ทำการพิชิตเกาะ “ไซปรัส” ได้เมื่อวันที่ 10 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ปีฮ.ศ.979 (ตรงกับ 2 สิงหาคม 1571)
และในช่วงระหว่างนี้นี่เองที่กองทัพเรือแห่งอุษมานียะห์ได้โจมตีเกาะ “ครีต” และเกาะ “ซฺอนตะฮฺ” และอีกหลายเกาะโดยไม่สามารถเข้ายึดครองได้แต่สามารถยึดครองบรรดหัวเมือง “เตลซินโย” และ “อันเตียบารี่” (ทั้งสองเป็นหัวเมืองในแคว้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลเอเดรียติกของยูโกสลาเวีย) เมื่อเวนิสเห็นว่าอุษมานียะห์ได้รับชัยชนะเหนือหัวเมืองชายทะเลดังกล่าวและอีกหลายหัวเมือง
เวนิสจึงขอความช่วยเหลือจากสเปนและพระสันตะปาปาซึ่งภายหลังได้มีการทำข้อตกลงกันในการทำสงครามกับอุษมานียะห์ทางทะเล อันเนื่องจากเกรงว่าอุษมานียะห์จะแผ่แสนยานุภาพและคุกคามต่ออิตาลี ทั้งหมดได้รวบรวมกองเรือรบของตนและตั้งให้ “ดอนควน” บุตรนอกสมรสของชาร์ลกันหรือกษัตริย์คาร์ลที่ 5 แห่งสเปนเป็นแม่ทัพเรือ กองเรือรบของพวกคริสเตียนได้เดินทางจนกระทั่งถึงชายฝั่งของอุษมานียะห์
โดยกองเรือรบผสมดังกล่าวประกอบด้วยกองเรือรบเอสปาโนล่าแห่งสเปนจำนวน 70 ลำ กองเรือรบของเวนิสจำนวน 140 ลำ กองเรือรบแห่งพระสันตะปาปาจำนวน 12 ลำ และเรือรบของพวกอัศวินครูเสดแห่งเกาะมอลต้าอีกจำนวน 9 ลำ ส่วนกองทัพเรือของอุษมานียะห์นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 300 ลำ และในวันที่ 17 ญุมาดั้ลอูลา ฮ.ศ.ที่ 979 (7 ตุลาคม คศ.1571)
กองเรือรบของทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทะกันในบริเวณ “ลิเบนต้า” หรือ “ลิบาเนท” เป็นระยะเวลาถึง 3 ชั่วโมงโดยรบพุ่งกันอย่างต่อเนื่องและจบฉากลงด้วยชัยชนะของกองเรือรบผสมฝ่ายคริสเตียนซึ่งสามารถยึดเรือรบฝ่ายอุษมานียะห์ได้เป็นจำนวนถึง 130 ลำ มีเรือถูกไฟไหม้และจมลงจำนวน 94 ลำ ปืนใหญ่ถูกยึดถึง 300 กระบอก และทหารตกเป็นเชลยถึง 30,000 คน ยุทธนาวีครั้งนี้นับเป็นสมรภูมิครั้งแรกที่ได้เกิดขึ้นระหว่างประเทศเดียวฝ่ายหนึ่งและประเทศคริสเตียนที่มีจำนวนมากกว่า 2 ประเทศอีกฝ่ายหนึ่งและการที่พระสันตะปาปาได้เข้ามามีส่วนในการรบด้วยย่อมบ่งถึงสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวกันทำสงครามกับรัฐอิสลามว่าคือ “ศาสนา” ดังเช่นที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนสงครามอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ได้เกิดขึ้นในช่วงหลัง ต่างก็ยืนยันเช่นนั้นหาใช่เป็นนโยบายทางการเมืองตามคำกล่าวอ้างไม่
ชัยชนะของฝ่ายคริสเตียนที่มีต่อจักรวรรดิอุษมานียะห์ในยุทธนาวีครั้งนี้ได้สร้างความปลื้มปิติแก่ชาวคริสเตียนทั้งมวลจนถึงขั้นที่ว่าพระสันตะปาปาได้ทรงแสดงธรรม ณ มหาวิหารเซนต์ปิเตอร์แห่งกรุงโรมและแสดงความขอบใจต่อ “ดอนควน” ที่เขาสามารถสร้างชัยชนะเหนือกองทัพเรือแห่งอิสลามได้
ส่วนทางฝ่ายอิสตันบูลนั้นเมื่อข่าวความปราชัยในการยุทธนาวีดังกล่าวได้เป็นที่ทราบกันก็ส่งผลให้ชาวมุสลิมในนครอิสตันบูลเกิดความไม่พอใจต่อชาวคริสเตียนและตั้งใจจะทำการสังหารคณะมิชชันนารีคาทอลิกเพื่อเป็นการแก้แค้นหากแต่ว่าท่านมหาเสนาบดีมุฮัมมัด ปาชา ซิกิ้ลลีย์ได้มีคำสั่งให้กักตัวคณะบาดหลวงดังกล่าวไว้ภายใต้การอารักขาจนกระทั่งเหตุการณ์ได้สงบลงและส่งตัวคณะบาดหลวงคาทอลิกดังกล่าวออกนอกประเทศตามคำขอร้องของทูตฝรั่งเศส
ต้นเดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 954 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาประนีประนอมระหว่างซุลตอนสุลัยมาน ข่าน อัลกอนูนีย์แห่งอุษมานียะห์ และจักรพรรดิแห่งออสเตรียเฟอร์ดินานที่ 1 แห่งราชวงศ์เฮบสเบิร์ก การกระทำสนธิสัญญาดังกล่าวได้เกิดขึ้นภายหลังการปราชัยของกองทัพออสเตรียขณะทำศึกแย่งชิงฮังการีจากอุษมานียะห์ สนธิสัญญาประนีประนอมดังกล่าวได้กำหนดให้มีการสงบศึกเป็นเวลา 5 ปี
โดยจักรพรรดิเฟอร์ดินานจะต้องจ่ายบรรณาการเป็นประจำทุกปีเป็นจำนวน 30,000 ดูก้า แลกเปลี่ยนกับการที่ฮังการีบางส่วนยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของออสเตรียและดินแดนของฮังการีที่เหลือยังคงขึ้นตรงกับเจ้าชาย “ซาโปลี” ซึ่งมีพระนาง “อิซซาเบลล่า” ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและและอยู่ภายใต้การดูแลของอุษมานียะห์อีกทอดหนึ่ง เงื่อนไขต่าง ๆ ในสนธิสัญญานี้ยังคงมีผลเรื่อยมาจนถึงวันที่ 24 เดือนร่อญับ ปีฮ.ศ.1110 (ตรงกับปีคศ.1699) ขณะมีการลงนามในสนธิสัญญา “คาร์โลฟิตซ์” (Carlofith) ซึ่งเป็นชื่อของเมืองในยูโกสลาเวีย บนฝั่งแม่น้ำ “ดานูบ” ในเขตของเซอร์เบีย ตามสนธิสัญญานี้ จักรวรรดิอุษมานียะห์ต้องยอมสูญเสียฮังการีแก่ออสเตรีย อนึ่งในสนธิสัญญานี้มีออสเตรีย,โบโลเนีย,รัสเซียและอุษมานียะห์ร่วมลงนาม
วันที่ 25 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1083 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญา “โบซากิ้ส” ระหว่างโบโลเนียและจักรวรรดิอุษมานียะห์ในสนธิสัญญาฉบับนี้กษัตริย์โบโลเนียได้ยอมเสียดินแดนบางส่วนที่เป็นประเทศราชของตนแก่จักรวรรดิอุษมานียะห์และยอมจ่ายบรรณาการทุกปีเป็นจำนวน 220,000 เหรียญทองเวนิส ภายหลังจากที่ซุลตอนสุลัยมาน ข่าน อัลกอนูนีย์ (ซึ่งได้ทรงนำทัพอุษมานียะห์ด้วยพระองค์เอง) ได้สร้างความปราชัยแก่กษัตริย์แห่งโบโลเนียและเข้ายึดครองเมือง “ลิมเบิร์ก” ได้
วันที่ 24 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1125 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาแห่ง “อดิ้รนะฮฺ” (เอเดรียโนเปิ้ล) ระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์และรัสเซียหลังเกิดสงครามระหว่างสองฝ่ายอันมีสาเหตุมาจากการที่รัสเซียไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสนธิสัญญา”แฟลกซิน” และในสนธิสัญญา “อดิ้รนะฮฺ” รัสเซียจำต้องยอมสูญเสียเขตปกครองของตนหลายเขตด้วยกันในส่วนดินแดนเหนือชายฝั่งทะเลดำ อนึ่งการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวได้เกิดขึ้นหลังการรบกันระหว่างสองฝ่ายและกองทัพของรัสเซียได้ถูกผลักดันให้ร่นถอยในการรบครั้งนั้น
วันที่ 15 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1206 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
มีการลงนามในสนธิสัญญา “ยาซ” (Jasi เมืองหนึ่งในโรมาเนีย เมืองหลวงของมอลดาเวียเก่า) ระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์และรัสเซียโดยมีอังกฤษ ปรัสเซีย ฮอลแลนด์ เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยสนธิสัญญาฉบับนี้กำหนดให้รัสเซียได้ครอบครอง “ไครเมีย” และส่วนหนึ่งจากรัฐ “อัลกูบาน” และ “บัซซ่าราเบีย” และแคว้นต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ “บูก” และแม่น้ำ “ดินิสเตอร์” โดยใช้แม่น้ำดินิสเตอร์เป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างสองประเทศ ส่วนรัสเซียนั้นจะต้องยอมเสียเมือง “อูซียฺ” แก่จักรวรรดิอุษมานียะห์
ต้นเดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1222 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
มีการลงนามในสนธิสัญญา “เธลเซต” ระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยมีมาตราที่ 22 และมาตราถัดมากำหนดให้รัสเซียยุติการคุกคามต่อจักรวรรดิอุษมานียะห์จนถึงขั้นให้นโปเลียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายและกำหนดให้กองทัพรัสเซียยอมสละแคว้น “อัฟล๊าก” (รัฐหนึ่งในแถบแม่น้ำดานูบ) และแคว้น “บุฆดาน” (โรมาเนีย) โดยกองทัพของอุษมานียะห์จะต้องยังไม่เคลื่อนทัพเข้าสู่รัฐทั้งสองจนกว่าจะมีการประนีประนอมในท้ายที่สุดเสียก่อน และถ้าหากว่าทางราชสำนักของอุษมานียะห์ไม่ยอมรับการเป็นตัวกลางของฝรั่งเศส
ทางฝรั่งเศสก็จะร่วมมือกับรัสเซียทำการรบแย่งชิงแว่นแคว้นและหัวเมืองต่าง ๆ ที่เป็นของอุษมานียะห์ในทวีปยุโรปทั้งหมดนอกจากกรุงอิสตันบูลและเขตปริมณฑล และจะนำดินแดนดังกล่าวที่ตีชิงมาได้มาแบ่งสรรกันระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศสพร้อมทั้งยังเอาใจออสเตรียด้วยการมอบดินแดนบางส่วนที่มีพื้นที่เพียงน้อยนิด
วันที่ 16 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1227 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
มีการลงนามในสนธิสัญญา “บูคาเรสต์” ระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์และรัสเซีย ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวกำหนดให้จักรวรรดิอุษมานียะห์ยังคงรักษาแคว้น “อัฟล๊าก” และแคว้น “บุฆดาน” ตลอดจนแคว้น”เซอร์เบีย”ไว้ใต้อำนาจของจักรวรรดิต่อไป ส่วนทางฝ่ายรัสเซียนั้นยังคงครอบครองแคว้น”บิซารบียา” และบางส่วนของปากน้ำแม่น้ำดานูบ อนึ่งการลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ตรงกับวันที่ 28 พฤษภาคม 1812 ในช่วงรัชสมัยแห่งซุลตอนมะฮฺหมูด ข่านที่ 2 องค์ซุลตอนลำดับที่ 30 แห่งจักรวรรดิอุษมานียะห์
วันที่ 2 เดือนญูมาดั้ลอูลา ปีที่ 1255 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
อะหฺหมัด ปาชา แม่ทัพเรือแห่งอุษมานียะห์ได้นำกองเรือรบทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตนมุ่งหน้าสู่เมือง “อเล็กซานเดรีย” และส่งมอบกองเรือรบทั้งหมดแก่มุฮัมมัด อาลี ปาชา (ตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม 1839 ในรัชสมัยแห่งซุลตอนอับดุลม่าญีดที่ 1) เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทำให้อุษมานียะห์ต้องสูญเสียกองเรือรบเกือบทั้งหมดและทำให้กลุ่มประเทศยุโรปเข้ามาแทรกแซงและในที่สุดมุฮัมมัด อาลี ปาชา ก็ยอมส่งมอบกองเรือรบคืนแก่อุษมานียะห์โดยมุฮัมมัด อาลี ปาชามีอำนาจปกครองอียิปต์อย่างเป็นเอกเทศ
วันที่ 16 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1255 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
บรรดากงสุลของกลุ่มประเทศยุโรปอันประกอบไปด้วยฝรั่งเศส,อังกฤษ,รัสเซีย,ออสเตรีย, ปรัสเซียได้ร่วมกันเรียกร้องต่อราชสำนักแห่งอุษมานียะห์ให้กลุ่มประเทศของตนเข้ามามีส่วนในปัญหาของอียิปต์พร้อมกับเสนอเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างมุฮัมมัด อาลี ปาชากับทางฝ่ายราชสำนักอุษมานียะห์เพื่อคลี่คลายปัญหานี้ซึ่งกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอุษมานียะห์และอธิปไตยเหนือดินแดนอียิปต์และแคว้นชามที่มุฮัมมัด อาลี ปาชา ได้ใช้กำลังทางทหารเข้ายึดครองบวกกับสถานการณ์ที่อุษมานียะห์ต้องสูญเสียกองทัพเรือของตนแก่มุฮัมมัด อาลี ปาชาซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความวิตกกังวลแก่ยุโรปที่จะต้องเผชิญกับการท้าทายของอำนาจใหม่ที่มูฮัมมัด อาลีได้สร้างขึ้นในช่วงเสื่อมของอุษมานียะห์
วันที่ 18 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1225 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
บรรดากงศุลของกลุ่มประเทศยุโรปได้ร่วมประชุมหารือกับมหาเสนาบดีแห่งอุษมานียะห์เพื่อถกปัญหาของอียิปต์และได้ลงมติให้ร่วมประชุมกันใหม่อีกครั้งหนึ่งในภายหลัง ทั้งนี้เนื่องจากมีความคิดขัดแย้งกัน
วันที่ 29 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1271 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพแห่งจักรวรรดิอุษมานียะห์ซึ่งได้กำลังสนับสนุนจากกองพลทหารอียิปต์ได้ปะทะกับกองทัพรัสเซียซึ่งได้รุกล้ำเส้นพรมแดนของจักรวรรดิอุษมานียะห์ และการศึกครั้งนี้ได้ปิดฉากลงด้วยความปราชัยของกองทัพรัสเซียในสมรภูมิ “อิบาตูเรีย” และหนึ่งจากผู้พลีชีพในสมรภูมิครั้งนี้คือ ส่าลีม ปาชา อบูต้อรบูช นายทหารแห่งทัพทหารอียิปต์
วันที่ 27 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1292 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ซุลตอนอับดุลอ้าซีซฺ แห่งอุษมานียะห์ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าประทานเมือง “ซัยละอฺ” และดินแดนที่ผนวกให้แก่คุดัยวีย์ (กษัตริย์ผู้ครองอียิปต์ซึ่งมีมูฮัมมัด อาลี ปาชาเป็นปฐมราชวงศ์) เมือง “ซัยละอฺ” เป็นเมืองท่าในโซมาเลียตรงอ่าวเอเดนในทะเลแดง
วันที่ 7 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1293 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการสถาปนาซุลตอนมุรอดที่ 5 พระราชโอรสในซุลตอนอับดุลม่าญีด ข่าน ขึ้นดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์แห่งปวงชนมุสลิม ซุลตอนมุรอด ข่านที่ 5 ทรงเป็นซุลตอนแห่งอุษมานียะห์ลำดับที่ 33 พระองค์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหลังการปลดซุลตอนอับดุลอ้าซีซ ข่านออกจากพระราชอำนาจ
วันที่ 17 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1295 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
เกิดความวุ่นวายขึ้นในกรุงอิสตันบูลซึ่งเกือบจะเป็นเหตุให้กองทัพรัสเซียยกทัพเข้าสู่กรุงอิสตันบูลและยึดครอง ความวุ่นวายดังกล่าวมีสาเหตุมาจากชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า อาลี ซ่าอาวีย์ อะเฟ็นดีย์ เป็นชาวเมืองบุคอรอเดิมบุคคลผู้นี้ได้เดินทางมาอิสตันบูลเพื่อร่ำเรียนหาวิชาความรู้จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอาหรับเป็นอย่างดีทั้งความฉะฉาน กาพย์กลอนและการกล่าวคำปราศรัย
แต่ทว่าบุคคลผู้นี้นิยมสร้างความวุ่นวายปลุกระดมและสร้างความบาดหมางจึงเป็นเหตุทำให้ถูกเนรเทศเป็นครั้งแรกเมื่อปี ฮ.ศ.1287/1870 เขาผู้นี้จำต้องอยู่นอกประเทศเป็นเวลาถึง 9 ปี ต่อมาเขาก็เดินทางกลับสู่กรุงอิสตันบูลด้วยการวิ่งเต้นของ “เมดฮัต ปาชา” และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลหอสมุดแห่งองค์ซุลตอนซึ่งบรรดาพระราชโอรสน้อยใหญ่แห่งองค์ซุลตอนอับดุลฮามีดทรงศึกษาในสถานที่แห่งนี้ ต่อมาเขาก็ถูกปลดออกอันเนื่องมาจากทำตัวไม่เหมาะสมและชอบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เมื่อถูกปลด อาลี อะเฟ็นดีย์ ผู้นี้ก็เริ่มวางแผนก่อความวุ่นวายในกรุงอิสตันบูลโดยมีเป้าหมายให้ถอดซุลตอนอับดุลฮามีด ข่านออกจากพระราชอำนาจและเรียกร้องให้นำซุลตอนมุรอด ข่านกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์ได้บานปลายจนถึงขั้นผู้ก่อความไม่สงบซึ่งมีด้วยกันสองกลุ่มจำนวนร่วมสองร้อยคนภายใต้การนำของซอและฮฺ เบย์ และอาลี ซ่าอาวีย์ อะเฟ็นดีย์ผู้นี้นำกำลังคนบุกพระราชฐาน “ญุรอฆอน” และกุมตัวซุลตอนมุรอดเอาไว้ แต่ในท้ายที่สุดกองทหารจากพระตำหนัก “ยัลดัซฺ” ซึ่งซุลตอนอับดุลฮามีดทรงประทับอยู่ที่นั่นได้มาถึงและปิดล้อมพระราชฐาน “ญุรอฆอน” เอาไว้และจบฉากลงด้วยการที่ผู้ก่อความไม่สงบครั้งนี้โดยเฉพาะอาลี ซ่าอาวีย์เสียชีวิตทั้งหมด หลังเหตุการณ์ได้สงบลง ซุลตอนมุรอดและพระราชวงศ์ของพระองค์ก็ถูกย้ายมาประทับในพระราชฐานส่วนในของพระตำหนัก “ยัลดัซฺ” เหตุการณ์ในกรุงอิสตันบูลก็สงบลง ประชาชนก็เปิดร้านรวงเป็นปกติ จักรวรรดิอุษมานียะห์ก็รอดพ้นจากการแทรกแซงด้วยกำลังทหารของรัสเซียซึ่งขณะนั้นกำลังประชิดเขตปริมณฑลของกรุงอิสตันบูลอยู่ด้วยข้ออ้างในการให้ความคุ้มครองชนกลุ่มน้อยชาวคริสเตียนออธอดอกซ์
วันที่ 20 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1295 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กรุงอิสตันบูลได้ประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ ซึ่งได้เผาผลาญพื้นที่จำนวนมิใช่น้อยของพระราชวังและยังได้ไหม้อาคารสภาองคมนตรีและอาคารใกล้เคียงตลอดจนที่ทำการศาลตุลาการ ที่ทำการฝ่ายกรมวังและมหาดไทยและส่วนอื่น ๆ โดยเผาผลาญข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์และเอกสารของราชการ เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้นั้นน่าจะมาจากการลอบวางเพลิงของพวกก่อความไม่สงบที่ยังเล็ดรอดมาได้เพื่อแก้แค้นต่อสิ่งที่พวกนี้ได้ประสบเมื่อครั้งเหตุการณ์ ณ พระราชฐานญุรอฆอน
วันที่ 8 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1343 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ซุลตอนอับดุลอะซีซฺ อาลซุอูด ทรงนำกองทัพอันเกรียงไกรยาตราเข้าสู่มหานครมักกะฮฺ โดยพระองค์ทรงประกาศผนวกรวมมหานครมักกะฮฺเข้าสู่พระราชอำนาจของพระองค์ ซุลตอนอับดุลอะซีซฺ (คศ.1880/1953) เป็นผู้สถาปนาราชอาณาจักรซาอูดีย์อาราเบีย พระองค์ทรงตีนครริยาดได้จากอิบนุร่อชีด (1902) และตีนครมักกะฮฺได้จากช่ารีฟ ฮุซัยน์ (1924) และทรงสถาปนาราชอาณาจักรในปีคศ.1932
วันที่ 21 เดือนญุมาดั้ลอูลา ปีที่ 1351 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนามชื่อ “ราชอาณาจักร แห่ง อัลฮิญาซฺ และอันนัจด์ และดินแดนที่ถูกผนวกเป็น “ราชอาณาจักรซุอูดีย์อาราเบีย” (ซาอุดิอาราเบีย)