อภิปรายเชิงถาม-ตอบเกี่ยวกับเรื่องผู้นำ
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين والعاقبة للمتقين ولاعدوان إلاعلى الظالمين ، أشهد أن لاإله إلاالله وحده لاشريك له فتبارك الله أحسن الخالقين ، وأشهدأن محمداعبده ورسوله أرسله الله رحمة للعالمين ، أللّهم صل وسلم وبارك على سيدنا محمدخاتم الأنبياء والمرسلين ، وعلى آله الطاهرين وصحابته أجمعين… أمابعد ؛
บทความนี้ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเพื่อเป็นการตอบคำถามของท่านอาจารย์อิสหาก พงษ์มณี นักวิชาการอาวุโสของกลุ่มอัส–สะละฟียูน ที่ท่านได้ตั้งประเด็นคำถามเอาไว้หลายประเด็นในข้อเขียน “เรื่องผู้นำ” ของท่านโดยท่านอาจารย์เขียนว่า “คำถามเหล่านี้ สำหรับคนที่อ้างหลักให้ตามผู้นำ (ศาสนาในบ้านเรา) ต้องตอบ จะมีใครตอบข้อข้องใจเหล่านี้ของผมได้หรือไม่ ตอบแบบวิชาการเต็มรูปแบบ ไม่เอาคำตอบแบบกะโหลกกะลา”
และท่านอาจารย์ยังได้เขียนในทำนองเชิญชวนอีกว่า
“ใครมีความเห็นและความเข้าใจมากกว่านี้ก็เรียนเชิญแสดงได้นะครับ เรากำลังศึกษากันอยู่ ไม่จำกัดระดับความรู้ครับ” ท่านอาจารย์ย้ำอีกว่า “คำถามเหล่านี้ใครจะเป็นคนตอบ”
เมื่อท่านอาจารย์เขียนเชิญชวนและย้ำมากกว่า 1 ครั้งว่าใครจะตอบและไขข้อข้องใจของท่านที่ตั้งประเด็นคำถามเอาไว้ในข้อเขียนของท่าน ข้าพเจ้าจึงขอขันอาสาสนองตอบคำเชิญชวนของท่านในการแสดงความคิดเห็นและตอบข้อข้องใจสารพันของท่านด้วยการเตาฟีกและการเกื้อหนุนจากพระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮูว่าตะอาลา) โดยข้าพเจ้าจะพยามยามตอบแบบวิชาการให้เต็มรูปแบบอย่างสุดกำลังและจะพยายามเลี่ยงจากคำตอบแบบกะโหลกกะลาให้สุดกู่ อินชาอัลลอฮฺ
ข้าพเจ้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นการเปิดประตูการศึกษาให้กว้างขึ้นและดีขึ้น อย่างที่ท่านอาจารย์อิสหากตั้งปณิธานไว้ในข้อเขียนของท่าน ทั้งนี้ข้าพเจ้าพอจะคาดการณ์ได้เมื่อบทความนี้ส่งถึงการรับรู้ของท่านอาจารย์ว่าท่านคงจะได้วิภาษตอบทางสื่อเกี่ยวกับเนื้อหาที่ปรากฏในบทความของข้าพเจ้า
หากเป็นดังการคาดการณ์นั้น (ซึ่งข้าพเจ้าอาจจะคาดผิด) ก็ขอความกรุณาจากท่านอาจารย์และนักวิชาการของกลุ่มอัส–สะละฟียูนได้เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมในการวิภาษทางสื่อของกลุ่มด้วยเพื่อจะได้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บรรดาผู้ใฝ่รู้ที่ติดตามรับฟังและรับชมสื่อของอัส–สะละฟียูน เพราะบ้านของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ห่างจากที่ตั้งของกลุ่มอัส–สะละฟียูนแต่อย่างใด ขอเพียงบอกกล่าวด้วยวาจาเท่านั้น ข้าพเจ้าก็จะรีบจรลีไปร่วมสนทนาด้วยในทันที จึงขอฝากข้อเสนอนี้เอาไว้เพื่อท่านอาจารย์จะได้รับไว้พิจารณา
แต่ในชั้นนี้ข้าพเจ้าขอร่วมแสดงความคิดเห็นในเชิงบทความตามที่ท่านอาจารย์ได้เชิญชวนไว้เป็นประเดิมเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจที่อุตส่าห์เชิญชวนแล้วจะบอกปัดหรือทำแชเชือน ก็ดูกะไรอยู่ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ถือหลักให้ตามผู้นำ (ศาสนาในบ้านเรา) นั่นเอง
ขอต่อเอกองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮูว่าตะอาลา) ได้ทรงดลบันดาลให้บทความที่เขียนขึ้นนี้เป็นวิทยาทานและก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่านทุกท่านทั้งในโลกนี้และอาคิเราะฮฺสถาน อามีน
والله ولي التو فيق والهداية
อะลี อะหฺหมัด อบูบักร มุฮัมมัด อะมีน
อัล–อัซฮะรียฺ อัช–ชาฟิอียฺ อัส–สิยามียฺ
บ้านป่า สวนหลวง
ค่ำคืนหนึ่งของซุลหิจญะฮฺ ฮ.ศ. 1435 / ตุลาคม 2557
อ.อิสหาก พงษ์มณี เขียนว่า
“มีการพูดถึงผู้นำกันมาก โดยเฉพาะให้เชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ไม่ผิดหลักการ ประเด็นนี้เห็นด้วยครับและต้องเอาด้วยเพราะมันคือหลักการ แต่ประเด็นใครคือผู้นำนี้สิค่อนข้างมีปัญหา เพราะนิยามผู้นำตามหลักการนั้นไม่ได้แยกระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง) หากเราจะเอาแบบชาวโลกเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะชาวโลกเขามีผู้นำทางศาสนาต่างหาก แยกไปจากผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง) เช่น โป๊บ สังฆราช และ ฯลฯ ตกลงมุสลิมเหมือนคริสต์ พุทธ พราหมณ์ ด้วยหรือไม่ กรณีมีผู้นำทางศาสนาแยกออกจากผู้ปกครองสูงสุด”
ข้อคิดเห็น
การพูดถึงเรื่องผู้นำกันมากเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมมุสลิม ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : จำเป็นในการที่จะถูกรับรู้ว่าแท้จริงการเป็นผู้รับผิดชอบการกิจของผู้คนนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาภารกิจทางศาสนาที่สำคัญยิ่ง มิหนำซ้ำย่อมไม่มีการดำรงอยู่สำหรับศาสนานอกเสียจากด้วยการมีผู้ดำรงตำแหน่งรับผิดชอบการกิจของผู้คน เพราะแท้จริงลูกหลานของอาดัม (อ.ล.) นั้นสิทธิประโยชน์ของพวกเขาย่อมไม่มีความสมบูรณ์นอกเสียจากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เนื่องจากมีความต้องการซึ่งกันและกัน และจำเป็นสำหรับพวกเขาในการอยู่ร่วมกันนั้นว่าจะต้องมีหัว (ผู้นำ) จำเป็นถึงขั้นที่ว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เคยกล่าวว่า : เมื่อมีคน 3 คนออกเดินทางไกล พวกเขาก็จงตั้งคนหนึ่งของพวกเขาให้เป็นผู้นำ (อะมีรฺ) –ความจากหะดีษของท่านอบูสะอีด (ร.ฎ.) และอบูฮุรอยเราะฮฺ รายงานโดยอบูดาวูด–
(อัส-สิยาสิยะฮฺ อัช-ชัรฺอียะฮฺ ; อิบนุตัยมียะฮฺ หน้า 161)
สิ่งที่ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) กล่าวข้างต้นเป็นข้อยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ามนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของท่านนบีอาดัม (อ.ล.) จะมีวิถีชีวิตที่รวมตัวกันเป็นสังคมมีการพึ่งพาอาศัยระหว่างกันและมีสิทธิประโยชน์ทั้งในส่วนบุคคลและส่วนรวม โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ส่วนรวม (อัล-มัศละหะฮฺอัลอามมะฮฺ) จะเป็นไปโดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผู้คนในสังคมนั้นรวมตัวกัน (อัล-อิจญ์ติมาอฺ) และเมื่อรวมตัวกันในการกิจหนึ่งก็จำต้องมีบุคคลที่รับหน้าที่ในการบริหารจัดการกลุ่มบุคคลนั้นซึ่งเรียกว่า ผู้นำ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิประโยชน์ของส่วนรวม ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการกิจทางโลกหรือทางศาสนาก็ตาม
ครอบครัวซึ่งเป็นสังคมที่เล็กที่สุดที่กลุ่มบุคคลรวมตัวกันบนสายสัมพันธ์ของการแต่งงาน การสืบเชื้อสายโลหิตและความเป็นเครือญาติก็จำต้องมีผู้นำที่รับผิดชอบการกิจของครอบครัว ชุมชนที่เป็นการรวมตัวกันของครอบครัวที่มีจำนวนคนในหลายครอบครัวมารวมตัวกันเป็นชุมชนก็จำต้องมีผู้นำชุมชนหรือกลุ่มคณะบุคคลเข้ามารับผิดชอบการกิจของชุมชนและบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ของสมาชิกในชุมชนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นปกติสุข เมื่อในชุมชนหรือตำบลหนึ่งมีมัสญิดเป็นศูนย์กลาง และผู้คนในชุมชนหรือตำบลนั้นเป็นสัปปุรุษของมัสญิดนั้น องค์กรมัสญิดก็จำต้องมีผู้นำที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการกิจขององค์กรมัสญิดและปวงสัปปุรุษซึ่งเรียกว่า อิมามประจำมัสญิดนั้นๆ
แม้เพียงกรณีของการเดินทางไกลที่มีคนร่วมเดินทางไปด้วย 3 คนขึ้นไป ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ยังได้มีคำสั่งให้กลุ่มบุคคลที่ร่วมกันในการเดินทางตั้งคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำ ซึ่งเรียกว่า “อะมีร” สำหาอะไรกับประชาคมมุสลิมในประเทศไทยที่มีจำนวนหลายล้านคน
คำถามก็คือ หากคนที่ออกเดินทางไกลมีจำนวน 3 คนขึ้นไปจะต้องมีผู้นำตามที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้สั่งเอาไว้ แล้วประชาคมมุสลิมจำนวนหลายล้านคนเล่า จำต้องมีผู้นำสำหรับพวกเขาหรือไม่?
หากตอบว่า ไม่! คือประชาคมมุสลิมจำนวนนับล้านคนในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีผู้นำ ทว่าการมีผู้นำเป็นเรื่องที่อนุญาต จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ หากประชาคมนั้นสามารถระงับยับยั้งในระหว่างกันจากการละเมิด มีการดำรงความเป็นธรรม ช่วยเหลือซึ่งกันและกันบนพื้นฐานของความดีและการตักวา โดยแต่ละคนในประชาคมนั้นทำหน้าที่ของตนก็ถือว่าประชาคมนั้นไม่ต้องมีผู้นำและปฏิบัติตามผู้นำนั้นแต่อย่างใด หากมีทัศนะตามที่ว่านี้ก็จงทราบเถิดว่านี่เป็นทัศนะของ กลุ่ม “อัล–มุหักกิมะฮฺ” รุ่นแรก และกลุ่ม “อัน–นัจญ์ดาต” จากพวก “อัล–เคาะวาริจญ์” ตลอดจนเป็นทัศนะนักวิชาการที่เป็นพวกอัล-มุอฺตะซิละฮฺ กล่าวคือไม่ใช่แนวทางของอะฮฺลิสสุนนะฮฺวัล–ญะมอะฮฺนั่นเอง
(อัล-ฟิกฮุลอิสลามียฺ ว่า อะดิลละตุฮู ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซ-ซุหัยลียฺ เล่มที่ 6 หน้า 668)
แต่ถ้าตอบว่า จำเป็น! คือประชาคมมุสลิมจำนวนนับล้านคนนั้นจำเป็นต้องมีผู้นำ เพราะนี่คือทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมากในศาสนาอิสลาม แม้แต่กลุ่มอัล-เคาะวาริจญ์ที่ยกเว้นพวกอัล-มุหักกิมะฮฺและอัน-นัจญ์ดาต ตลอดจนกลุ่มอัลมุอฺตะซิละฮฺยกเว้นนักวิชาการบางส่วนในกลุ่มนี้ก็เห็นพ้องตรงกับฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺว่าการมีผู้นำเป็นเรื่องจำเป็น (อ้างแล้ว 6/663) โดยถือเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ (อัล-อะหฺกาม อัส-สุลฏอนียะฮฺ ; อัล-มาวัรฺดียฺ หน้า 3)
หากจะค้านว่า ผู้นำที่จำเป็นต้องมีสำหรับประชาคมมุสลิมนั้นหมายถึง ผู้นำที่มีสถานภาพเป็นเคาะลีฟะฮฺหรืออิมามสูงสุด (อิมามอะอฺซ็อม) แต่ผู้นำของประชาคมมุสลิมในประเทศไทยไม่ใช่เคาะลีฟะฮฺหรืออิมามอะอฺซ็อมหรือไม่ใช่ “หากิม”
ดังข้อเขียนของอาจารย์ที่ระบุว่า :
“… เพราะคำว่า “ฮาเก่ม” คือผู้มีอำนาจ ถามว่าจุฬามีอำนาจไหม เมื่อออกคำสั่งแล้ว หากมีคนฝืนจุฬาทำอะไรได้บ้าง หลักการไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือการใช้คำว่า “ฮาเก่ม” กับตำแหน่งจุฬาต่างหาก หลักที่ว่า “เมื่อผู้ปกครองตัดสินแล้ว ข้อขัดแย้งก็ยุติ” หากเป็นผู้ปกครองโดยแท้จริง มันยุติแน่ แต่ปัญหาคือ “จุฬา” คือผู้ปกครองใช่หรือไม่ ต้องถามต่อว่าปกครองอะไร ถ้าเอาตามกฎหมายบ้านเรา จุฬาไม่มีอำนาจลงโทษหรือเอาโทษกับคนที่ไม่เห็นด้วย ฉะนั้นการอ้างอิงหลักการกับการนำมาใช้ในสถานที่เป็นจริงมันต่างกัน พึงระวังด้วย”
ข้อคิดเห็น
หากท่านอาจารย์ยอมรับประเด็นแรกที่ว่าประชาคมมุสลิมาจำต้องมีผู้นำ ก็ย่อมวิเคราะห์กันต่อไปเกี่ยวกับสถานภาพและคุณลักษณะของผู้นำได้ แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับในประเด็นแรก ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์ต่อ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านอาจารย์ยอมรับประเด็นแรกอยู่ในที เพราะท่านเขียนว่า : “มีการพูดถึงผู้นำกันมาก โดยเฉพาะให้เชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ไม่ผิดหลักการ ประเด็นนี้เห็นด้วยครับ และต้องเอาด้วยเพราะมันคือหลักการ แต่ประเด็นใครคือผู้นำนี่สิค่อนข้างมีปัญหา…”
เมื่ออาจารย์ยอมรับว่า การเชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ไม่ผิดหลักการคือหลักการ ดังนั้นท่านอาจารย์จะปฏิบัติตามหลักการข้อนี้ได้อย่างไร? ในเมื่อท่านถามว่าใครคือผู้นำ? และท่านถือว่าปัญหาอยู่ที่ประเด็นใครคือผู้นำ? คล้ายกับว่าไม่มีผู้นำ เมื่อไม่มีผู้นำแล้วจะเชื่อฟังใคร? ในสำนวนของอัล-หะดีษระบุว่า : إنما الطاعة في المعروف إذ لا طاعة لمخلوق في معصية الخالق “อันที่จริงการภักดีเชื่อฟังนั้นอยู่ในเรื่องที่ดี กล่าวคือ ย่อมไม่มีการภักดีเชื่อฟังสำหรับสิ่งถูกสร้างในเรื่องที่ฝ่าฝืนต่อพระผู้ทรงสร้าง”
อัล-หะดีษพูดถึงเรื่องการเชื่อฟังและภักดี ( الطاعة ) ในเรื่องดี ( المعروف ) คือไม่ผิดหลักการของศาสนา นี่คือหลักการที่อาจารย์ยอมรับ เห็นด้วย และบอกว่าต้องเอาด้วย แต่หลักการที่ว่าต้องเอาด้วยนี้ ท่านอาจารย์จะนำมาปฏิบัติจริงๆอย่างไร? บุคคลที่มีบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ตั้งภาคีและทั้งสองก็เพียรพยายามให้บุคคลที่เป็นบุตรนั้นทำการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ (สุบหานะฮูวะตะอาลา) พระองค์ดำรัสกับบุคคลผู้นั้นว่า فَلَا تُطِعْهُمَا…الآية “เจ้าก็จงอย่าเชื่อฟังบุคคลทั้งสอง….” (อัล-อังกะบูต : 8) (ลุกมาน : 15)
นั่นแสดงว่า ถ้าบิดามารดาของผู้นั้นเป็นผู้ศรัทธาและสั่งใช้ผู้นั้นให้ปฏิบัติสิ่งที่เป็นความดีตามหลักการของศาสนา ก็จำเป็นที่ผู้นั้นจำต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่า ใช่! เพราะเป็นหลักการ ก็ถามต่อไปว่า บิดามารดาเป็นผู้นำของบุตรธิดาใช่หรือไม่? และนี่เป็นเรื่องของหลักการที่ว่าด้วยการเชื่อฟังใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่า ใช่! ก็แสดงว่า หลักการที่เรากำลังพูดถึงคือเรื่องของการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ( الطاعة ) ส่วนบิดามารดาจะใช่ผู้นำที่เราจำต้องเชื่อฟังหรือไม่? ค่อยว่ากันอีกที
เมื่อเรากล่าวถึงสิทธิของสามีอันเป็นหน้าที่ของภรรยาที่จำต้องปฏิบัติต่อสามี เราก็จะพบว่าส่วนหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวคือ ( طاعته في غير معصية الله تعالى ) “การเชื่อฟังสามีในเรื่องที่มิใช่การฝ่าฝืนต่อพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา” เพราะพระองค์ดำรัสว่า :
فَإِنْ أَطَعْنَكُمْ فَلَا تَبْغُوا عَلَيْهِنَّ سَبِيلًا…
“หากพวกนางเชื่อฟังพวกท่านแล้วละก็ พวกท่านก็อย่าแสวงหาหนทางใดๆ ที่เป็นการประทุษร้ายต่อพวกนาง” (อัน–นิสาอฺ : 34)
(ดูมินฮาญุลมุสลิม ; อบูบักร์ ญาบิรฺ อัล-ญะซาอิรียฺ หน้า 79)
ถามว่า : เมื่อสามีใช้ให้ภรรยาของตนกระทำสิ่งที่ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักการของศาสนา ก็จำเป็นที่ภรรยาต้องเชื่อฟังสามีของนางใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่า ใช่! เพราะนี่เป็นหลักการที่ว่าด้วยเรื่องการเชื่อฟัง ( الطاعة ) ก็ถามต่อไปว่า สามีเป็นผู้นำของภรรยาใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกที แต่ที่แน่ๆ ภรรยาต้องเชื่อฟังผู้เป็นสามีในเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา เพราะนี่คือหลักการ!
เมื่อเรากล่าวถึงมารยาทที่ว่าด้วยการเดินทาง (อาด็าบ อัส-สะฟัรฺ) ก็จะพบว่ามีอัล-หะดีษบทหนึ่งที่รายงานจากท่านอบูสะอีด (ร.ฎ.) และอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ทั้งสองกล่าวว่า : ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า : إِذَا خَرَجَ ثَلَاثَةٌ فِيْ سَفَرٍ فَلْيُؤَمِّرُوْا أَحَدَهُم “เมื่อมีคน 3 คนออกไปในการเดินทางไกล พวกเขาก็จงให้คนหนึ่งของพวกเขาเป็นผู้นำ (อะมีรฺ) ของพวกเขา” (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษเลขที่ 2608 ด้วยสายรายงานที่หะสัน)
อัล-หะดีษบทนี้นักวิชาการได้สรุปสาระสำคัญว่า : “ส่งเสริมสำหรับกลุ่มคณะ (อัล-ญะมาอะฮฺ) ผู้เดินทางให้พวกเขากำหนดคนๆหนึ่งจากพวกเขาให้เป็นผู้นำเหนือพวกเขา โดยที่พวกเขาจะเชื่อฟังผู้นำนั้นในเรื่องราวของการเดินทาง… อัล-มาวัรฺดียฺ กล่าวไว้ในตำรา อัล-หาวียฺ ว่า : และคำสั่งนี้เป็นเรื่องในเชิงจำเป็น (วุญูบ)” (นุซฺฮะตุลมุตตะกีน ชัรฺหุ ริยาฎิศศอลิหิน หน้า 382)
นั่นหมายความว่า เมื่อบุคคลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำคณะของผู้เดินทางก็ให้ผู้ร่วมเดินทางเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำคณะโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการเดินทาง เมื่อผู้นำคณะมีคำสั่งที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนา ผู้ร่วมเดินทางก็ต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟัง นี่คือหลักการใช่หรือไม่? หากตอบว่า ใช่! ก็ถามต่อไปว่านี่เป็นเรื่องของการเชื่อฟัง ( الطاعة ) ใช่หรือไม่? หากตอบว่า ใช่! ก็แสดงว่า สาระสำคัญอยู่ที่หลักการว่าด้วยการเชื่อฟัง ส่วนตัวบุคคลที่ตั้งคำถามว่า ใครคือบุคคลที่จะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามในกรณีที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนานั้น เป็นเรื่องรอง ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นเป็นใคร? เป็นบิดามารดา หรือเป็นสามี หรือเป็นครูผู้สั่งสอนศิษย์ หรือเป็นผู้นำคณะในการออกเดินทางไกล ฯลฯ
เหตุนี้เวลานักวิชาการอธิบายถึงหลักการว่าด้วยการปฏิบัติตามเชื่อฟัง (อัฏ–ฏออะฮฺ) ก็จะใช้หลักการที่ว่านี้โดยครอบคลุมตามนัยกว้างๆ (อัด–ดะลาละฮฺ อัล–อามมะฮฺ) สำหรับบุคคลที่มีสถานภาพแตกต่างกันไปไม่ใช่เฉพาะ “ผู้นำ” เท่านั้น เพราะหลักการข้อนี้เป็นการกล่าวถึงการเชื่อฟังสิ่งที่ถูกสร้าง ( المخلوق ) ว่าจะต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระผู้ทรงสร้าง ( الخالق )
ซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวนของอัล–หะดีษที่ว่า
إذ لا طاعة لمخلوقٍ في معصية الخالق “กล่าวคือ ย่อมไม่มีการเชื่อฟังสำหรับสิ่งถูกสร้างในเรื่องที่ฝ่าฝืนต่อพระผู้ทรงสร้าง”
หรือในอีกสำนวนหนึ่งที่ว่า : لَا طَاعَةَ في معصيةِ اللهِ ، إنما الطاعةُ في المعروفِ “ไม่มีการภักดีเชื่อฟังในการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ อันที่จริงการเชื่อฟังนั้นในเรื่องที่ดีเท่านั้น”
(เศาะหิหฺ มุสลิม กิตาบ อัล-อิมาเราะฮฺ 4/504, อัน-นะสาอียฺ กิตาบ อัล-บัยอะฮฺ 7/142)
การเชื่อฟังภักดีต่ออัลลอฮฺและรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เป็นการเชื่อฟังแบบไร้เงื่อนไข ( إطاعة مطلقة ) เพราะถึงแม้ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จะเป็นสิ่งถูกสร้าง (มัคลู็ก) แต่ท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ เป็นผู้ไร้มลทิน (มะอฺศูม) ท่านจะไม่ใช้ในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบัญญัติของอัลลอฮฺโดยเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จำต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) โดยสิ้นเชิงแบบไร้เงื่อนไข
ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ไม่มีสถานภาพอย่างท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ สามีหรือผู้นำก็ตาม การเชื่อฟังบุคคลเหล่านี้เป็นการเชื่อฟังแบบมีเงื่อนไข ( إطاعة مقيدة ) กล่าวคือ การเชื่อฟังถูกผูกพันเอาไว้ในเฉพาะเรื่องที่ดี ( المعروف ) เท่านั้น ส่วนสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ก็ห้ามในการเชื่อฟัง นี่คือหลักการของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺที่ว่าด้วยเรื่องการภักดีเชื่อฟังและการปฏิบัติตามซึ่งเป็นเรื่องกว้างๆและมีนัยครอบคลุม มิใช่เฉพาะเรื่องของผู้นำที่ถามหาว่าเป็นใคร? เพียงเรื่องเดียว!
ดังนั้นเมื่อท่านอาจารย์ยอมรับและเห็นด้วยในหลักการข้างต้น ก็พิจารณากันต่อไปว่า ผู้ใดที่เราจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม? คำตอบก็คือ ผู้นำ! และอีกหลายคนที่ยกตัวอย่างมา แต่ปัญหาข้องใจของท่านอาจารย์ก็คือ ใครคือผู้นำ? ก็ขอให้เราได้ลองพิจารณาข้อเขียนของเหล่านักวิชาการดูเสียก่อนว่าพวกเขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไร?
*อัล-ลามะฮฺ อิบนุ อบีลอิซฺ อัล-หะนะฟียฺ (ร.ฮ.) เขียนว่า :
ِوَقَدْ دَلَّتْ نصوصُ الكتاب والسنةِ وإجْمَاعِ سَلَفِ الأمةِ أنّ وَلِيَّ الْأمْرِ ، وَإِمَامَ الصَّلَاةِ ، وَالْحَاكِمَ ، وأَمِيْرَ الْحَرْبِ ، وعَامِلَ الصدقة : يُطَاعُ في مَوَاضِع َالاجتهادِ ، ولَيْسَ عليه أنْ يُطيعَ أَتْبَاعَهُ في موارد الاجتهادِ ، بل عليهم طاعتُه في ذلكَ ، وتركُ رَأْيِهِمْ لِرَأْيِهِ ، فإنَّ مَصْلَحَةَ الجماعةِ والائتِلاَف ، وَمَفْسَدَة الفُرْقَةِ والاختِلاَف أَعْظَمُ مِنْ أمْرِ المسائِلَ الجزئية
“แน่แท้ บรรดาตัวบทของคัมภีร์อัล–กุรอานและสุนนะฮฺตลอดจนอิจญ์มาอฺของชนรุ่นสะลัฟของประชาคมได้บ่งชี้ว่า แท้จริงผู้รับผิดชอบการกิจ, อิมามนำละหมาด, อัล–หากิม (ผู้ปกครอง?) แม่ทัพ (ผู้นำการศึก) และเจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมซะกาต (เศาะดะเกาะฮฺ วาญิบะฮฺ) จะถูกเชื่อฟังในบรรดาตำแหน่งของการอิจญ์ติฮาด และหาใช่เป็นหน้าที่เหนือผู้นำในการที่เขาจะเชื่อฟังบรรดาผู้ตามของเขาในบรรดาแหล่งที่มาของการอิจญ์ติฮาด ทว่าจำเป็นเหนือพวกเขา (บรรดาผู้ตาม) ในการเชื่อฟังผู้นั้นในเรื่องดังกล่าว และ (จำเป็น) ต้องละทิ้งทัศนะความเห็นของพวกเขาเพื่อ (ปฏิบัติตาม) ทัศนะความเห็นของผู้นั้น เพราะแท้จริงสิทธิประโยชน์ของกลุ่มชนและความสมานฉันท์ ตลอดจนเหตุแห่งความเสียหายของการแตกแยกและขัดแย้งกัน เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องของบรรดาปัญหาข้อปลีกย่อย”
(ชัรฺหุ อัล–อะกีดะฮฺ อัฏ–เฏาะหาวียะฮฺ ; อัลลามะฮฺ อิบนุ อบิลอิซฺ อัล–หะนะฟียฺ ; อัล–มักตับ อัล–อิสลามียฺ พิมพ์ครั้งที่ 9 (ค.ศ.1988) เบรุต หน้า 376)
ข้อเขียนของอัล-ลามะฮฺ อิบนุ อบิลอิซฺ (ร.ฮ.) นับรวมเอาบุคคลในหลายสถานภาพ เช่น วะลียุลอัมร์และอัล-หากิม เข้าไว้ในกลุ่มบุคคลที่จำต้องได้รับการเชื่อฟังในเรื่องที่มีการอิจญ์ติฮาดได้ แต่มีข้อสังเกตว่า มีบุคคลอย่างน้อย 2 คนคือ อิมามนำละหมาดและเจ้าหน้าที่เก็บซะกาต ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้ไม่มีอำนาจในการปกครอง การตัดสินและลงโทษต่างจาก 2 บุคคลแรกและแม่ทัพ กระนั้นบุคคล 2 คนที่เป็นเพียงอิมามนำละหมาดและเจ้าหน้าที่เก็บซะกาตก็เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่จำต้องได้รับการเชื่อฟังและปฏิบัติตามเมื่อมีการอิจญ์ติฮาดและมีทัศนะอย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องที่ตนรับผิดชอบคือเรื่องการละหมาดและการจัดเก็บซะกาต
เหตุที่ยกข้อเขียนนี้มากล่าวก็เพื่อตอบข้อข้องใจของท่านอาจารย์ที่ตั้งคำถามเอาไว้เสียหลายประเด็นในเรื่องที่ว่า ใครคือผู้นำที่เราจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ดังปรากฏในข้อเขียนที่ว่า :
“แต่ประเด็นใครคือผู้นำนี้สิค่อนข้างมีปัญหา เพราะนิยามผู้นำตามหลักการนั้น ไม่ได้แยกระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง)”
“…นี่แหละ คือปัญหาเพราะคำว่า “ฮาเก่ม” คือผู้มีอำนาจ ถามว่าจุฬามีอำนาจไหม เมื่อออกคำสั่งแล้วหากมีคนฝืน จุฬาทำอะไรได้บ้าง….”
“…ต้องถามต่อว่าผู้ปกครองอะไร ถ้าเอาตามกฎหมายบ้านเรา จุฬาไม่มีอำนาจลงโทษหรือเอาโทษกับคนที่ไม่เห็นด้วย…”
“ 5- ไม่สามารถออกคำสั่งข้อบังคับ ระเบียบใดหากขัดต่อตัวบทกฎหมาย อีกทั้งไม่สามารถยกเลิกกฎหมายใดๆได้โดยลำพัง แม้อาจจะผิดหลักการศาสนา
6- สรุปว่าหากจะกล่าวว่า “จุฬา” คือผู้นำก็คงเป็นเพียงผู้นำย่อยตามกรอบของกฎหมายเท่านั้น”
ข้อเขียนของอาจารย์เน้นสาระสำคัญอยู่ที่การใช้อำนาจในการลงโทษของจุฬาราชมนตรี การเป็นเพียงผู้นำทางศาสนาซึ่งตามนิยามของผู้นำไม่ได้แยกระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง) สรุปคือเป็นเพียงผู้นำย่อยตามกรอบของกฎหมาย
ก็ขอถามว่า แล้วอิมามนำละหมาดกับเจ้าหน้าที่จัดเก็บซะกาตเล่า ทำไมอัล–ลามะฮฺ (ร.ฮ.) จึงระบุว่า บุคคลทั้งสองถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่จะต้องได้รับการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ทั้งๆที่อิมามนำละหมาด (ชัดเจนว่าไม่ใช่อิมามสูงสุดหรือผู้ดำรงตำแหน่งอิมามะฮฺอุซฺมา) และเจ้าหน้าที่จัดเก็บซะกาตไม่มีอำนาจในการลงโทษ และบุคคลทั้งสองก็มิใช่ผู้นำทางการเมืองมิใช่ “หากิม” ออกคำสั่ง ข้อบังคับ ระเบียบหรือยกเลิกกฎหมายโดยลำพังก็ทำไม่ได้ แต่ทำไมจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามการวินิจฉัยของบุคคลทั้งสองด้วยเล่า! ประเด็นนี้ท่านอาจารย์จะต้องหักล้างข้อเขียนของอัล–ลามะฮฺ อิบนุ อบิลอิซฺ (ร.ฮ.) เสียก่อนว่าเป็นข้อเขียนที่ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนจากการนิยามที่ท่านอาจารย์กำหนดขึ้นเองโดยไม่อ้างที่มาของนิยามนั้นจากตำราเล่มใดๆเลย
โปรดสังเกตเนื้อหาของข้อเขียนที่อัล-ลามะฮฺ (ร.ฮ.) ทิ้งท้ายเอาไว้เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงจำเป็นต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามกรณีการอิจญ์ติฮาดของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ท่านเขียนว่า “นั่นเป็นเพราะว่าแท้จริงสิทธิประโยชน์ของกลุ่มชนและความสมานฉันท์ ตลอดจนเหตุแห่งความเสียหายของการแตกแยกและการขัดแย้ง เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องของบรรดาข้อปัญหาปลีกย่อย” ก็ถามว่า อะไรคือสิทธิประโยชน์ (มัศละหะฮฺ) ของกลุ่มชนที่เรียกว่า ประชาคมมุสลิมในประเทศไทยที่มีจำนวนหลายล้านคน? สิทธิประโยชน์ที่ว่านั้นจะดำรงรักษาไว้ได้หรือไม่ในเมื่อประชาคมมุสลิมจำนวนนับล้านคนนั้น “ไม่มีผู้นำ”
และในเมื่อทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่โดยเฉพาะอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺเห็นตรงกันว่า การมีผู้นำ (อิมามะฮฺ) เป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ หากประชาคมมุสลิมไม่มีผู้นำก็แสดงว่าพวกเขาต้องมีโทษหรือบาปด้วยกันทุกคน ซึ่งแน่นอนประชาคมมุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยย่อมพ้นฟัรฎูกิฟายะฮฺไปแล้ว เมื่อพวกเขาถือว่า จุฬาราชมนตรีคือผู้นำของพวกเขา
ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะมีความเห็นและข้อสรุปว่า “จุฬาราชมนตรี” ไม่ใช่ผู้นำตามนิยามและหลักเกณฑ์ที่อาจารย์ได้กำหนดเอาไว้ก็ตาม คำถามจึงมุ่งเป้าไปยังท่านอาจารย์เองว่า ใครคือผู้นำของท่าน? เพราะข้าพเจ้าและประชาคมมุสลิมโดยส่วนใหญ่ เชื่อและยึดว่า จุฬาราชมนตรีคือผู้นำสูงสุดของเรา และเราก็ไม่ถือว่าข้อเขียนของท่านอาจารย์จะมีน้ำหนักเพียงพอในการปฏิเสธความเป็นผู้นำของท่านจุฬาราชมนตรี เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเขียนบทความนี้เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเขียนของท่านว่าเรามีคำตอบหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ในชั้นนี้ เราจะเห็นได้ว่า สถานภาพของบุคคลที่ศาสนากำหนดให้เชื่อฟังปฎิบัติตาม เช่น บิดา-มารดา, ครูบาอาจารย์, อิมามนำละหมาด และสามี เป็นนัยสำคัญมากกว่าที่จะพิจารณาเรื่องอำนาจว่ามีหรือไมมี การฏออะฮฺเชื่อฟังกลุ่มบุคคลดังกล่าวในสิ่งที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนา มีสาระสำคัญอยู่ที่สถานภาพ สิทธิ และหน้าที่ของตัวบุคคล ไม่ใช่อยู่ที่อำนาจเพียงประการเดียว
และอำนาจที่ว่านี้ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นเรื่องของการลงโทษหรือการออกกฎหมายหรือยกเลิกกฎหมาย แต่อยู่ที่สถานภาพของบุคคลมากกว่า เช่น หากผู้นั้นเป็นบิดามารดา เราผู้เป็นบุตรธิดาก็จำต้องเชื่อฟัง การที่ลงโทษการฝ่าฝืนของบุตรธิดาโดยบุพการีนั้นก็ทำได้เพียงการเฆี่ยนเพื่อสั่งสอนแต่ก็ไม่ใช่การเฆี่ยนอย่างกรณีระวางโทษของคดีอาญาที่ศาสนากำหนดไว้ อิมามนำละหมาดก็เป็นบุคคลที่เหล่ามะอฺมูมหรือสัปปุรุษต้องเชื่อฟัง ทั้งๆ ที่อิมามก็ไม่มีอำนาจในการลงโทษผู้ฝ่าฝืนหรือจะมีก็เหมือนไม่มีนั่นเอง สามีก็เป็นบุคคลที่ภรรยาจำต้องเชื่อฟัง หากดื้อแพ่งการทำได้ตามลำดับคือตักเตือนสั่งสอนด้วยวาจา หากไม่เชื่อก็แยกที่นอน หากไม่เชื่ออีกก็ตีได้เท่าที่จำเป็นตามที่อัล-กุรอานระบุไว้เท่านั้น ถึงอย่างนั้นการฏออะฮฺเชื่อฟังกลุ่มบุคคลดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ศาสนาบัญญัติเอาไว้ กรณีของผู้นำก็เช่นกัน เมื่อคนส่วนใหญ่ให้การยอมรับว่าบุคคลผู้นั้นคือผู้นำของพวกเขา เรื่องการฏออะฮฺเชื่อฟังก็เป็นสิ่งที่ศาสนาบัญญัติเอาไว้เช่นกัน
อาจารย์อาจจะค้านว่า กรณีของบิดา-มารดา สามี ครูบาอาจารย์ และอิมามนำละหมาด (โต๊ะอิมาม) นั้น ที่เราจำเป็นต้องเชื่อฟังก็เป็นเพราะว่า เรารู้ว่าใครคือบิดามารดา ใครคือครูบาอาจารย์ และใครคือโต๊ะอิมามที่มัสญิดของเรา แต่เราไม่รู้ว่า ใครคือผู้นำ! หรือคนที่เราอ้างว่าเป็นผู้นำจริงๆแล้วไม่ใช่ผู้นำ เพราะผู้นำที่เราต้องเชื่อฟังจะต้องมีคุณสมบัติตามนิยามหรือหลักการกำหนดไว้ ถ้ามีคุณสมบัติและเข้าเกณฑ์ตามหลักการของการเป็นผู้นำแล้ว แน่นอนก็จำเป็นที่เราต้องเชื่อฟัง แต่กรณีของจุฬาราชมนตรีนี่สิ พิจารณาดูแล้วไม่น่าจะเข้าหลักเกณฑ์ตามที่หลักการกำหนดไว้ หากจะเป็นผู้นำก็เป็นเพียงผู้นำย่อยตามกรอบของกฎหมายเท่านั้น! ข้อเขียนของอาจารย์สรุปอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไรดอก! ค่อยๆ วิเคราะห์ อินชาอัลลอฮฺ เราคงได้คำตอบในท้ายที่สุดว่าใช่หรือไม่ใช่
อาจารย์เขียนว่า :
“เพราะนิยามผู้นำตามหลักการนั้น ไม่ได้แยกระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง)”
คำซักค้าน
จริงอย่างที่ว่า ผู้นำตามหลักการนั้นไม่ได้แยกระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำทางการเมือง เพราะอิสลามไม่ได้แยกศาสนาออกจากการเมืองและการปกครอง ดังนั้นผู้ปกครองรัฐอิสลาม (อัดเดาวฺละฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ) ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดที่เรียกว่า เคาะลีฟะฮฺหรืออิมามอะอฺซอมจึงเป็นผู้นำประชาคมมุสลิมทั้งในด้านศาสนจักรและอาณาจักร เพราะคำว่า อิมามะฮฺ,คิลาฟะฮฺ, สุลฏอน, มุลก์ และอิมาเราะฮฺ ตามนัยบ่งชี้ทางภาษาที่แตกต่างกันมุ่งหมายตามหลักบัญญัติของศาสนา (อัช-ชัรฺอ์) ยังความหมายเดียวกัน คือ ( قِيَادَةُ الأُمَّةِ وَحُكْمُهَا ) “การเป็นผู้นำประชาคมและการปกครองประชาคมนั้น”
(มันฮัจญ์ อัส-สุนนะฮฺ ฟิล อะลาเกาะฮฺ บัยนัล หากิม วัล-มะหฺกูม ; ดร.ยะหฺยา อิสมาอีล หน้า 235)
และชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า : “อัล-วิลายะฮฺและอัส-สุลฏอน หมายถึงความสามารถ (อำนาจ) ที่เกิดขึ้นจริง เหตุนั้นการเป็นผู้นำ (อิมามะฮฺ) จึงเป็นทั้งมุลก์ (อำนาจของกษัตริย์) และสุลฏอน (อำนาจในการบังคับบัญชา)”
(มินฮาญุสสุนนะฮฺ ; อิบนุตัยมียะฮฺ 1/141-142)
ส่วนนิยามตามหลักบัญญัติของศาสนา (อัช-ชัรฺอ์) นั้น อิมามอัล-ญุวัยนียฺ นิยามว่า : อัล-อิมามะฮฺ คือตำแหน่งการเป็นผู้นำ (ริยาสะฮฺ) อันสมบูรณ์ และสถานภาพการเป็นผู้นำ (ซิอามะฮฺ) ที่ครอบคลุม (อามมะฮฺ) ซึ่งจะผูกพันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจาะจงเฉพาะ (คอศ-เศาะฮฺ) และสิ่งที่ครอบคลุมโดยรวม (อามมะฮฺ) ในประเด็นสำคัญๆของศาสนาและทางโลกโดยมีนัยรวมๆถึงการพิทักษ์รักษาอธิปไตย การดูแลผู้อยู่ใต้การรับผิดชอบ (อัร-เราะอียะฮฺ) การดำรงการเรียกร้องด้วยหลักฐานและดาบ การระงับความเบี่ยงเบนและการอธรรม การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกอธรรมจากเหล่าผู้อธรรมการเรียกร้องสิทธิอันสมบูรณ์จากบรรดาผู้ขัดขืนและทำให้สิทธินั้นเกิดแก่ผู้ที่มีสิทธิโดยชอบ”
(ฆิยาษุลอุมัม ; อิมามุลหะเราะมัยนฺ อัล-ญุวัยนียฺ หน้า 15)
ส่วน อิบนุ ค็อลดูนนิยามความเป็นผู้นำ (อิมามะฮฺ) ว่า : “การนำพาส่วนร่วมทั้งหมดให้เป็นไปตามมุมมองของบัญญัติศาสนาในบรรดาสิทธิประโยชน์ของพวกเขาทั้งที่เกี่ยวกับอาคิเราะฮฺ (อุคเราะวียะฮฺ) และดุนยาที่กลับไปยังตำแหน่งการเป็นผู้นำนั้น”
(อัล-มุกอดดิมะฮฺหน้า 170)
อัด-ดิฮฺละวียฺ นิยามตำแหน่งคิลาฟะฮฺว่า : คือความเป็นผู้นำโดยรวม (อัร-ริยาสะฮฺ อัล-อามมะฮฺ) ในการเผชิญหน้าเพื่อดำรงศาสนาให้มั่นคงด้วยการฟื้นฟูวิชาการทางศาสนาดำรงมุขบัญญัติของอิสลาม ดำรงการญิฮาดและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการญิฮาดจากการจัดระเบียบกองทัพและสิ่งที่ถูกกำหนดแก่บรรดานักรบ การมอบสินสงครามแก่พวกเขา การทำหน้าที่พิพากษาชำระคดีความ การดำเนินการตามบทลงโทษ (อัล-หุดูด) การขจัดสิ่งที่อธรรมด้วยการรับฎีกา การสั่งใช้ให้กระทำคุณงามความดีและห้ามปรามจากความชั่วเป็นการปฏิบัติหน้าที่แทนท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)”
(อิกลีล อัล-กะรอมะฮฺ ฟี ติบยาน มะกอศิด อัล-อิมามะฮฺ ; ศิดดีก หะสัน ข่าน หน้า 23)
สะอฺดุดดีน อัต-ตัฟตาซานียฺ นิยามความเป็นผู้นำสูงสุด (คิลาฟะฮฺ) ว่า : การเป็นผู้นำโดยรวม (ริอาสะฮฺ อามมะฮฺ) ในการกิจของศาสนาและทางโลก เป็นผู้สืบทอดจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)”
(ชัรฺหุล อะกออิด อัน-นะสะฟียะฮฺ อ้างจาก อัล-คิลาฟะฮฺ ของเราะชีด ริฎอ หน้า 10)
และอัล-มาวัรฺดียฺ นิยามว่า “อัล-อิมามะฮฺ คือสิ่งที่ถูกวางเพื่อสืบทอดภารกิจของผู้เป็นนบี (อัน-นุบูวะฮฺ) ในการพิทักษ์ศาสนาและการปกครองดุนยา”
(อัล-อะหฺกาม อัส-สุลฏอนียะฮฺ หน้า 3)
คำนิยามสำหรับความเป็นผู้นำในฐานะอิมามสูงสุดหรือเคาะลีฟะฮฺของเหล่านักวิชาการข้างต้นนั่นมุ่งหมายถึง ตำแหน่งของประมุขแห่งรัฐอิสลามที่สมบูรณ์ ซึ่งแน่นอนจุฬาราชมนตรีไม่ใช่ประมุขแห่งรัฐอิสลาม คือมิใช่เคาะลีฟะฮฺที่สมบูรณ์ตามนิยามดังกล่าว เพราะนักวิชาการแบ่งประเภทของคิลาฟะฮฺหรืออิมามะฮฺเป็น 2 ประเภทคือ
1) คิลาฟะฮฺที่สมบูรณ์ (ตามมะฮฺ)
2) คิลาฟะฮฺที่ไม่สมบูรณ์ (ฆอยรุ้ตามมะฮฺ)
คิลาฟะฮฺที่สมบูรณ์ก็คือความเป็นผู้นำสูงสุดที่มวลมุสลิมเห็นพ้องเป็นมติเอกฉันท์ต่อการเป็นผู้นำนั้น และบรรดาผู้ปฏิเสธก็ถูกทำสงครามด้วยการเป็นผู้นำนั้น และศาสนาก็ปรากฏเด่นชัดด้วยความเป็นผู้นำนั้น คิลาฟะฮฺที่สมบูรณ์นี้หากพิจารณาถึงเงื่อนไขที่กำหนดว่าจะต้องมีการทำสงครามญิฮาดกับบรรดาผู้ปฏิเสธก็จะสิ้นสุดลงนับแต่สิ้นสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน อิบนุอัฟฟาน (ร.ฎ.) (ดูมินฮาญุสสุนะฮฺ 2/208) แต่ถ้าพิจารณาถึงช่วงระยะเวลา 30 ปีแห่งการเป็นคิลาฟะฮฺอัน-นุบูวะฮฺตามที่ระบุในหะดีษของท่านสะฟีนะฮฺ (ร.ฎ.) ก็จะรวมถึงช่วงเวลาการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านอัล-หะสัน อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) ตลอดระยะเวลา 6 เดือนและสิ้นสุดลงเมื่อมีการสละตำแหน่ง (ตะนาซุล) ให้แก่ท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ.) ปี ฮ.ศ.41
(มันฮะญุสสุนนะฮฺ ; ดร.ยะหฺยา อิสมาอีล หน้า 250)
ส่วนคิลาฟะฮฺที่ไม่สมบูรณ์ (อัล-คิลาฟะฮฺ ฆ็อยรุตตามมะฮฺ) หมายถึง การเป็นผู้นำที่ประชาคมร่วมกันบนความเป็นผู้นำนั้น ตามที่นักวิชาการอัล-หะดีษชาวเมืองอัล-บัศเราะฮฺ , ชาม และอัล-อันดะลุส ได้กล่าวไว้ (มินฮาญุสสุนนะฮฺ ; อิบนุตัยมียะฮฺ 2/208) โดยไม่มีการรบพุ่งกับเหล่าผู้ปฏิเสธ คิลาฟะฮฺประเภทที่สองนี้เรียกว่า คิลาฟะฮฺตุลมุลก์ (คือเป็นผู้นำแบบกษัตริย์) ซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่ท่านเคาะลีฟะฮฺมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ.) ตราบจนสิ้นสุดระบอบคิลาฟะฮฺในรัฐอุษมานียะฮฺ (ออตโตมานเติร์ก) ในปีค.ศ.1923
หากท่านอาจารย์ยึดคำนิยามของนักวิชาการข้างต้นนั้นก็หมายความว่า สถานภาพของผู้นำที่สมบูรณ์ซึ่งเราจำต้องฏออะฮฺเชื่อฟังนั้นหมดไปจากโลกนี้นับตั้งแต่ปีฮ.ศ.ที่ 41 แล้ว เพราะคำนิยามว่าด้วยผู้นำรัฐอิสลามที่สมบูรณ์ซึ่งนักวิชาการกำหนดเอาไว้มุ่งหมายถึง คิลาฟะฮฺตามมะฮฺ หรือคิลาฟะฮฺอัน-นุบูวะฮฺ คือสถานภาพการเป็นผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามที่สมบูรณ์ ส่วนสถานภาพการเป็นผู้นำที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขบางข้อหรือส่วนใหญ่ในคำนิยามเหล่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่เป็นไปตามนิยามหรือหลักการที่ท่านอาจารย์ได้กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้นำที่จำต้องเชื่อฟัง
ซึ่งถ้าถามว่าใครผู้นำสูงสุดที่มีสถานภาพการเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ตามหลักการและนิยามซึ่งจำเป็นต้องภักดีและเชื่อฟังก็คงตอบได้ว่า คือ เคาะลีฟะฮฺอัร-รอชิดทั้ง 4 ท่านและท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ อิบนุ อับดิลอะซีซ (ร.ฎ.) ตลอดจนท่านอัล-หะสัน อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) อื่นจากนั้นเป็นเคาะลีฟะฮฺที่ไม่สมบูรณ์คือไม่ใช่คิลาฟะฮฺอัน-นุบูวะฮฺ
แต่ถ้าท่านอาจารย์จะซักค้านว่า ไม่เลย! เรากำลังพูดถึง “หากิม” คือผู้ปกครองที่มีอำนาจทั้งทางด้านศาสนาและการเมืองการปกครอง มีอำนาจในการลงโทษกับผู้ที่ฝ่าฝืน ซึ่งบรรดาเคาะลีฟะฮฺในรัฐอิสลามหลังยุคคุละฟาอฺ อัร-รอชิดูนก็เข้าอยู่ภายใต้คำนิยามและหลักการว่าด้วยความเป็นผู้นำที่จำต้องเชื่อฟังตามหลักการของศาสนา เราก็ซักค้านตอบได้ว่า สำหรับเราแล้ว ผู้ปกครองที่เป็นเคาะลีฟะฮฺในรัฐอิสลามทั้งหมด เรายอมรับอยู่แล้วว่าพวกเขาคือผู้นำที่ผู้คนในสมัยของท่านเหล่านั้นจะต้องเชื่อฟัง
แต่เงื่อนไขที่ท่านอาจารย์กำหนดว่าต้องมีอำนาจในการลงโทษ มีอำนาจในด้านการปกครองทางการเมืองด้วย นั่นแหล่ะคือปัญหาเพราะบรรดาเคาะลีฟะฮฺเป็นจำนวนมากในราชวงศ์อัล–อับบาสิยะฮฺ ช่วงยุคที่สองอันเป็นยุคเสื่อมถูกกีดกันอยู่ในพระราชวัง ไม่มีอำนาจในการปกครองรัฐเพราะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเปอร์เซีย เติร์ก และเสลญูก มิหนำซ้ำยังถูกใช้เป็นหุ่นเชิดเป็นของเล่นของพวกเติร์ก เคาะลีฟะฮฺเหล่านั้นเป็นเพียงผู้นำทางศาสนาโดยสัญลักษณ์เท่านั้น
(ดูรายละเอียดในบทความว่าด้วยการเคลื่อนย้ายสถานภาพการเป็นเคาะลีฟะฮฺจากราชวงศ์อัล–อับบาสียะฮฺ ณ กรุงไคโรสู่สุลฏอนสะลีมข่านแห่งอุษมานียะฮฺในเว็บไซต์)
แม้แต่บรรดาสุลฏอนหรือเคาะลีฟะฮฺในราชวงศ์อัล–อุษมานียะฮฺแห่งตุรกีในช่วงเสื่อมก็กลายเป็นผู้ไร้อำนาจและถูกพวกกองทหารเจนนิสซารียฺ (อิงกิชารียะฮฺ / เยนี ตัชรียฺ) เข้ามาแทรกแซง และแม้แต่บรรดาเคาะลีฟะฮฺแห่งอัล–อับบาสียะฮฺ ณ กรุงไคโรที่ได้รับการฟื้นฟูโดยรุกนูดดีน บัยบรัส อัล–บันดะเกาะดะรียฺซึ่งเป็นสุลฏอนมัมลูกียะฮฺ ทั้งหมดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺและไม่มีอำนาจทางการเมืองการปกครองแต่อย่างใด และอาจกล่าวได้ว่าผู้นำรัฐอิสลามที่ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺในช่วงปลายอัล–อับบาสียะฮฺเป็นต้นมาเป็นผู้นำทางศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นผู้มอบอำนาจโดยการแต่งตั้ง ถูกขอดุอาอฺให้ในการแสดงคุฏบะฮฺวันศุกร์ ถูกจารึกพระนามในเหรียญกษาปณ์ แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองตกอยู่ในกำมือของบรรดาสุลฏอน ซึ่งมีทั้งพวกเติร์กและเสลญูกตลอดจนพวกอะตาเบก
แน่นอนตามหลักการและนิยามของความเป็นผู้นำที่จำต้องปฏิบัติตามนั้นไม่ได้แยกระหว่างศาสนากับการเมือง แต่ข้อเท็จจริง (อัล–วากิอียะฮฺ) ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อิสลามนับพันปี ผู้นำของชาวมุสลิมที่ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺหรืออิมามสูงสุดถูกปฏิบัติในฐานะผู้นำทางศาสนาเท่านั้น ส่วนอำนาจทางการเมืองการปกครอง การให้คุณให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนหาได้มีไม่
ข้อเขียนของอาจารย์ที่ว่า :
“หากเราจะเอาแบบชาวโลกเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะชาวโลกเขามีผู้นำทางศาสนาต่างหาก แยกไปจากผู้นำทางการเมือง (ผู้ปกครอง) เช่น โป๊บ สังฆราช ฯลฯ ตกลงมุสลิมเหมือนคริสต์ พุทธ พราหมณ์ ด้วยหรือไม่ กรณีมีผู้นำทางศาสนาแยกออกจากผู้ปกครองสูงสุด”
ก็อธิบายได้ว่า
ถ้าเราพูดถึงระบอบคิลาฟะฮฺ หรืออิมามะฮฺ อุซฺมา ตามหลักรัฐศาสตร์อิสลามที่มีบรรทัดฐานมาจากระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺ อัน–นุบูวะฮฺและถือตามคำนิยามก็ตอบได้ว่า ไม่เหมือนอย่างชาวโลกที่ว่าแน่นอนเพราะโดยหลักการและคำนิยามไม่ได้แยกระหว่างความเป็นผู้นำทางศาสนากับความเป็นผู้นำทางการเมืองการปกครองและนั่นคือผู้นำที่สมบูรณ์ตามหลักการของอิสลาม แต่สถานการณ์และความเป็นจริงในประวัติศาสตร์อิสลามมีเรื่องจริงที่ว่า เคาะลีฟะฮฺกลายเป็นผู้นำทางศาสนา ในขณะที่บรรดาสุลฏอนแห่งเสลญูกเติร์กและมัมลูกียะฮฺกลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครอง มีเรื่องจริงเช่นนี้เกิดขึ้น
กระนั้นก็ใช่ว่าสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นจะไปเหมือนกับชาวโลกที่เป็นคนในศาสนาอื่น เพราะโป๊บหรือพระสันตะปาปาเป็นพระในคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคทอลิก มีอำนาจสืบทอดจากเซนต์ปิเตอร์หนึ่งในอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ลระบุว่า : “ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร (Peter) และบนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้ เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 16:18,19)
นั่นหมายความว่า พระสันตะปาปามีสิทธิในเรื่องตะหฺลีลและตะหฺรีม (อนุญาติและห้าม) สิ่งใดก็ได้ ซึ่งเป็นชิรฺกุฏฏออะฮฺ แต่เคาะลีฟะฮฺหรือผู้นำประชาคมมุสลิมทำเช่นนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางศาสนาหรือผู้นำทางการเมืองหรือเป็นผู้นำทั้งสองอย่างก็ตาม ความเป็นมุสลิมในเรื่องความเชื่อและหลักปฏิบัติตามศาสนาอิสลามของผู้นำทางศาสนาที่เป็นมุสลิมแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับกรณีของโป๊บหรือพระสันตะปาปาอย่างแน่นอน และในบางยุคเช่นยุคกลางพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมก็มีอำนาจควบคู่ทั้งทางศาสนจักรและอาณาจักรด้วยซ้ำไป ทำให้ยุโรปในยุคใหม่จำต้องแยกศาสนาออกจากการเมืองตามลัทธิโลกนิยมหรือแซคคิวล่าร์อย่างที่รู้กัน
ส่วนสมเด็จพระสังฆราชในพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์ไม่ใช่ฆราวาส เป็นประมุขของคณะสงฆ์และไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจทางโลก ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้นำทางศาสนาแต่ก็แตกต่างจากผู้นำทางศาสนาที่เป็นชาวมุสลิมแน่นอน การตั้งประเด็นของอาจารย์ที่ว่าตกลงมุสลิมเหมือนคริสต์กับพุทธด้วยหรือไม่ กรณีมีผู้นำทางศาสนาแยกออกจากผู้ปกครองสูงสุด เป็นการตั้งประเด็นที่ไม่ควรจะตั้งเป็นประเด็นนับแต่ต้นแล้ว เพราะถึงแม้ผู้นำทางศาสนาที่เป็นมุสลิมจะไม่ใช่ผู้มีอำนาจทางการเมืองและการปกครองสูงสุด ก็ไม่จำเป็นว่าผู้นำทางศาสนาที่เป็นมุสลิมจะต้องเหมือนกับผู้นำทางศาสนาของศาสนาอื่นๆ
ในทำนองเดียวกันหากบางยุคจะมีผู้นำทางศาสนาของศาสนาอื่นๆ ที่มีอำนาจในการปกครองไปด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นว่าผู้นำทางศาสนานั้นๆจะต้องเหมือนกับผู้นำของประชาคมมุสลิมในระบอบคิลาฟะฮฺเพราะองค์ดาไลลามะของธิเบตในยุคก่อนจีนยึดครองก็เป็นผู้นำสูงสุดของชาวธิเบตทั้งทางศาสนจักรและอาณาจักร พระสันตะปาปาในยุคกลางก็มีอำนาจทั้งทางศาสนจักรและอาณาจักร คนในวรรณะพราหมณ์บางยุคก็เป็นกษัตริย์และปกครองอาณาจักร
หากได้อ่านประวัติศาสตร์โลกแล้วก็จะเห็นว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเลย และคงไม่ผิดหากข้าพเจ้าจะค้านว่า ผู้นำทางศาสนาที่เป็นชาวมุสลิมนั้นย่อมแตกต่างจากผู้นำทางศาสนาคริสต์ พุทธ และพราหมณ์อย่างแน่นอน และการที่ผู้นำทางศาสนาซึ่งเป็นมุสลิมไม่มีอำนาจในด้านการเมืองการปกครองหรือถูกแบ่งแยกระหว่างความเป็นผู้นำทางศาสนากับความเป็นผู้ปกครองสูงสุดนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะตัดสินว่าผู้นำทางศาสนาจะต้องเหมือนกับผู้นำในศาสนาอื่นๆแต่อย่างใด
และข้อเขียนของอาจารย์ที่ว่า :
“และหากมี (ระบบผู้นำศาสนา) ถามว่า เคยมีในยุคใดสมัยใดในประวัติศาสตร์อิสลาม”
คำตอบก็คือ
ถ้าถามถึงระบบ (นิซฺอม) โดยมีนักการศาสนา (ริญาลุดดีน) เป็นผู้ปกครองสูงสุดและอ้างอำนาจของเทพเจ้าหรือพระเจ้าในความชอบธรรม ระบบเช่นนี้เรียกว่า تيو قرا طية (theocracy) ซึ่งเป็นรัฐที่ผู้ปกครองอ้างอำนาจการปกครองจากเทพเจ้าหรือพระเจ้า ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะเป็นคนๆ เดียวหรือคณะบุคคลที่เป็นนักการศาสนา (อัฎวาอฺ อะลาอันนุซุม อัล–อิสลามียะฮฺ ; ดร.อับดุลกอดิรฺ สัยยิด อับดุรฺเราะอูฟ หน้า 75) ระบอบการปกครองนี้ไม่มีอย่างแน่นอนในประวัติศาสตร์อิสลามในอดีต หากจะมีก็เป็นกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺที่เป็นรัฐของเหล่าอายาตุลลอฮฺซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่เรากำลังกล่าวถึง
แต่ถ้าถามว่าในประวัติศาสตร์อิสลามเคยมีช่วงเวลาใดบ้างที่ผู้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺอยู่ในสถานะผู้นำทางศาสนาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีอำนาจในด้านการเมืองการปกครอง ก็ตอบได้ว่า มีอย่างแน่นอน ถ้าเราไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในช่วงที่ 2 ของอาณาจักรอัล–อับบาสียะฮฺทั้งที่นครแบกแดดและกรุงไคโร จะเรียกว่าระบอบหรือไม่ก็ตาม
แต่ถ้าจะถามว่าเคยมีระบบที่กำหนดให้มีฝ่ายที่รับผิดชอบกิจการศาสนาอิสลามเป็นการเฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารหรือฝ่ายปกครองหรือไม่ โดยฝ่ายที่รับผิดชอบนี้เป็นอิมามหรือปราชญ์ทางศาสนา (อุละมาอฺ) ที่มีหน้าที่ในการพิพากษาอรรถคดีตามหลักนิติธรรมอิสลามเท่านั้น ก็ตอบได้ว่า มีอย่างแน่นอน ก็คือบรรดาผู้พิพากษา (อัล–กุฎอฮฺ) ในรัฐอิสลามนับตั้งแต่ยุคของบรรดาคุละฟาอฺ อัร–รอชิดูน และการแยกระบบของศาลอิสลามออกจากฝ่ายการเมืองการปกครองนี้ก็เริ่มมีมานับแต่สมัยของท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัร (ร.ฎ.) โน่นแล้ว และบรรดาผู้พิพากษาในยุคของอัส–สะลัฟ อัศ–ศอลิหฺก็ล้วนแต่เป็นนักวิชาการทางศาสนา เป็นอิมามซึ่งคงไม่ผิดหากเราจะเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้นำศาสนา
แต่ถ้าอาจารย์จะค้านว่าข้าพเจ้าออกนอกเรื่อง เพราะกอฎียฺไม่ใช่หากิม และเรากำลังพูดถึงเรื่องของหากิม (ผู้ปกครอง) ไม่ได้พูดถึงเรื่องของผู้พิพากษาหรืออัลกอ–ฎียฺ! ข้าพเจ้าก็ยืนยันได้ว่า เปล่าเลย ข้าพเจ้าไม่ได้ออกนอกเรื่องเลยแม้แต้นิดเดียว เพราะคำว่า “อัล–เกาะฎออฺ” ( ُالقَضَاء ) ตามหลักภาษาหมายถึง การตัดสินระหว่างผู้คน และอัล–กอฎียฺก็หมายถึง “อัล–หากิม” คือผู้ตัดสิน และตามหลักการของศาสนา (ชัรฺอัน) อัล–เกาะฎออฺ หมายถึง การตัดสินข้อพิพาทและการตัดสินข้อถกเถียงให้เป็นที่ยุติ
(อัด–ดุรฺรุลมุคตารฺ 4/309 , อัช–ชัรฺหุลกะบีรฺ ; อัด–ดัรฺดีรฺ 4/129 , อัล–ฟิกฮุลอิสลามียฺ ว่าอะดิลละตุฮู ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซ–ซุหัยลียฺ เล่มที่ 6 หน้า 739)
โปรดสังเกตว่าความหมายทางภาษาของคำว่า “อัล–กอฎียฺ” ก็คือ “อัล–หากิม” ถึงแม้ว่านัยของอัล–หากิมจะกว้างกว่า และหน้าที่ของอัล–กอฎียฺก็คือหน้าที่ของอัล–หากิมโดยส่วนใหญ่ตามที่มีระบุในคำนิยามของผู้นำสูงสุด (คิลาฟะฮฺ–อิมามะฮฺ) (ดูคำนิยามของอัด–ดิฮฺละวียฺ ตามที่ศิดดีก หะสัน ข่านระบุไว้ในอิกลีล อัล–กะรอมะฮฺ หน้า 23) เช่น การทำหน้าที่พิพากษา ( القيام بالقضاء ) การดำเนินการเกี่ยวกับบทลงโทษ (อัล–หุดูด) ตามคดีอาญา ( إقامة الحدود ) การสั่งใช้ให้ประกอบความดีและห้ามปรามจากความชั่ว ( الأمر بالمعروف والنهى عن المنكر ) เป็นต้น (ดูรายละเอียดในอัล–อัฎวาอฺฯ ดร.อับดุลกอดิร สัยยิด อับดุรฺเราะอูฟ หน้า 359)
ทั้งนี้ในสมัยของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ท่านทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาคดีความระหว่างผู้คน ประชาคมมุสลิมในสมัยนั้นไม่มีผู้พิพากษา (กอฎียฺ) นอกจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) โดยการรวมอำนาจทั้ง 3 เอาไว้ในตัวท่าน คือ อำนาจนิติบัญญัติ (อัต–ตัชรีอฺ) อำนาจการบริหาร (อัต–ตัมฟีซฺ) และอำนาจตุลาการ (อัล–เกาะฎออฺ)
และเมื่อรัฐอิสลามแผ่ขยายมากขึ้น ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้มอบหมายให้เศาะหาบะฮฺบางท่านทำหน้าที่ในการตัดสินและชำระความ เช่น ส่งท่านอะลี (ร.ฎ.) และท่านมุอาซฺ (ร.ฎ.) ไปเป็นผู้ตัดสินคดีความที่ยะมัน และแต่งตั้งท่านอัตต็าบ อิบนุ อุสัยยิด (ร.ฎ.) เป็นผู้ปกครองมักกะฮฺและเป็นผู้พิพากษาภายหลังการพิชิตนครมักกะฮฺ บรรดาอัล–คุละฟาอฺ อัรฺ–รอชิดูนก็ดำเนินตามแนวทางนี้ ในสมัยเคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺ (ร.ฎ.) ท่านอุมัรฺ (ร.ฎ.) เป็นผู้พิพากษาโดยในช่วงเวลา 2 ปี ไม่มีคู่กรณีนำเรื่องสู่การพิพากษาของท่านอุมัร (ร.ฎ.) แต่อย่างใด
และเมื่อท่านอุมัรฺ (ร.ฎ.) เป็นเคาะลีฟะฮฺ ท่านก็แยกฝ่ายตุลาการออกจากฝ่ายอำนาจบริหาร (อัล–วิลายะฮฺ อัล–อิดารียะฮฺ) และแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษา (อัล–กุฎออฺ) ในหัวเมืองทั่วรัฐอิสลามเช่นนครมะดีนะฮฺ , มักกะฮฺ , อัล–บัศเราะฮฺ , อัล–กูฟะฮฺ และอียิปต์ (อัล–เกาะฎออฺ ฟิลอิสลาม ; อาริฟ อัน–นักดียฺ หน้า 79) และการพิพากษาของเหล่ากอฎียฺที่แยกเป็นเอกเทศจากเคาะลีฟะฮฺจะจำกัดอยู่เฉพาะในส่วนของคดีแพ่งและทรัพย์สิน (อัล–อิสลาม วัล–หะฎอเราะฮฺ อัล–อะเราะบียะฮฺ ; มุฮัมมัด กุรด์ อะลี 2/154) ตลอดจนพิจารณาคดีความเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดก (อะหฺกาม อัล–อุสเราะฮฺ วัล–มีรอษฺ) การพิพากษาเพื่อปกครองทรัพย์ของผู้ที่ไร้วุฒิภาวะและการเป็นอิมามนำละหมาดวันศุกร์และวันอีด (อัล–อัฎวาอฺ ; ดร.อับดุลกอดิรฯ หน้า 359)
ส่วนคดีอาญาที่จำต้องมีการพิพากษาให้ประหารชีวิต (กิศอศ) หรือการลงโทษ (อัล–หุดูด) ยังคงอยู่ในอำนาจของเคาะลีฟะฮฺ และบรรดาผู้ปกครองแคว้นที่มีอำนาจทั่วไป (อัล–วิลายะฮฺ อัล–อามมะฮฺ) ส่วนบรรดาผู้ปกครองที่มีอำนาจเฉพาะ (อัล–วิลายะฮฺ อัล–คอศเศาะฮฺ) จะมีสิทธิเพียงแค่การดำเนินบทลงโทษตามคดีอาญาที่ล่วงละเมิดสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เท่านั้น เช่น คดีการเฆี่ยนหรือขว้างผู้ผิดประเวณีหรือเฉพาะที่เกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลหากมีการร้องขอ (อะหฺกาม อัส–สุลฏอนียะฮฺ ; อัลมาวัรฺดียฺ หน้า 30)
เหตุที่ต้องลงรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีของการใช้อำนาจฝ่ายตุลาการของอัล–กอฎียฺก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในบางนัยหรือในหลายๆกรณี กอฎียฺก็คือหากิมและชี้ให้เห็นว่ามีการแบ่งอำนาจในระหว่างผู้ปกครองตามหลักรัฐศาสตร์อิสลาม ตลอดจนมีการแยกอำนาจฝ่ายตุลาการซึ่งเคยเป็นของผู้นำสูงสุด (เคาะลีฟะฮฺ) ออกจากฝ่ายที่มีอำนาจบริหารหรือฝ่ายการเมืองนับตั้งแต่ยุคของสะลัฟศอลิหฺแล้ว
ปัญหาจริงๆจึงอยู่ที่การให้คำนิยามของอาจารย์ สำหรับคำว่า “หากิม” ในข้อเขียนที่ว่า : “นี่แหล่ะคือปัญหา เพราะคำว่า “ฮาเก่ม” คือผู้มีอำนาจ ถามว่าจุฬามีอำนาจไหม เมื่อออกคำสั่งแล้ว หากมีคนฝืนจุฬาทำอะไรได้บ้าง หลักการไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือการใช้คำว่า “ฮาเก่ม” กับตำแหน่งจุฬาต่างหาก …”
แน่นอนหลักการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการนั้นย่อมไม่มีปัญหาแต่ปัญหาอยู่ที่ความเข้าใจของอาจารย์เกี่ยวกับนิยามคำว่า “อัล–หากิม” และเรื่องบริบทแห่งอำนาจต่างหากเพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือกรณีของบุคคลที่ถูกให้ชื่อว่ามีคุณสมบัติอย่างไรต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่เพียงชื่อหรือตำแหน่งที่ใช้เรียก ดังคำกล่าวของนักวิชาการที่ระบุว่า إِنَّمَا الْعِبْرَةُ بِالْـمُسَمَّيَاتِ لاَ بِالأَسْمَاء “อันที่จริงการพิจารณานั้นอยู่ที่สิ่งที่ถูกเรียกชื่อ ไม่ใช่พิจารณาที่ชื่อเรียก”
ดังนั้นการที่เราจะเรียกตัวบุคคลที่เป็นผู้นำว่าอิมาม, อะมีร, เราะอีส, วะลียุลอัมร์, สุลฎอน, หากิม, กอฎียฺ หรือเคาะลีฟะฮฺ นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะชื่อเรียกเหล่านี้มีความหมายใกล้เคียงกัน (อัล-มุตะรอดิฟาต) ถึงแม้ว่าแต่ละคำที่ใช้เรียกจะมีนัยที่ต่างกันคือมีกว้าง (อุมูม) แคบ (คุศูศ) และครอบคลุมแบบไร้เงื่อนไข (มุฏลัก) ตลอดจนจำกัดด้วยเงื่อนไข (มุก็อยยัด) และถึงแม้ว่านิยามทางวิชาการ (มุศเฏาะละหาต) ของคำว่า อิมามะฮฺ-คิลาฟะฮฺจะเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในการเรียกผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามคือเคาะลีฟะฮฺ, อิมาม และอะมีรฺ ซึ่งเคาะลีฟะฮฺอัล-มะอฺมูน ถูกเรียกขานทั้ง 3 ชื่อนี้ในตราเหรียญกษาปณ์ว่า “อิมาม” และถูกโต้ตอบ (คิฏอบ) ในเวลาเดียวกันว่า อะมีรฺ อัล-มุอฺมินีนและถูกเรียกว่าเคาะลีฟะฮฺ
(อันนัซริยาตฺ อัส-สิยาสิยะฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ ; มุฮัมมัด ฎิยาอุดดีน อัร-รีส หน้า 118)
เหตุนี้ สัยยิดเราะชีด ริฎอจึงกล่าวว่า : อัล-คิลาฟะฮฺและอัล-อิมามะฮฺ อัล-อุซฺมา ตลอดจนอิมาเราะฮฺ อัล-มุอฺมินีน 3 คำนี้มีความหมายเดียวกัน (อัล-คิลาฟะฮฺ หน้า 10) และในช่วงการปกครองของอาณาจักรอัล-อุษมานียะฮฺ (ออตโตมานเติร์ก) มีการแยกสิ่งที่ถูกบ่งชี้ (มัดลูล) ของคำว่าสุลฏอนกับสิ่งที่ถูกบ่งชี้ (มัดลูล) ของคำว่าเคาะลีฟะฮฺ โดยคำว่า สุลฏอน ( السلطان ) หมายถึง ชื่อเรียกหรือฉายาฝ่ายการเมือง (อัล-ละก็อบ อัล-มะดะนียฺ) ซึ่งมีอำนาจในการปกครองและอำนาจทางการทหาร
ส่วนคำว่า เคาะลีฟะฮฺ ( الخليفة ) หมายถึง ชื่อเรียกหรือฉายาฝ่ายการศาสนา (อัล-ละก็อบ อัด-ดีนียฺ) ซึ่งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด (อัล-วิลายะฮฺ อัล-อุซมา) เหนือประชาคมมุสลิมและรับผิดชอบกลุ่มมุสลิมส่วนน้อยในดินแดนของผู้ปฏิเสธ (ดารุลกุฟร์) มีอำนาจในการประกาศสงครามญิฮาดและพิทักษ์ดินแดนที่มีศักดิและสิทธิ (อัล-มุกอดดะสาต) ในดินแดนของมุสลิม
(อัด-เดาวฺละฮฺ อัล-อุษมานียะฮฺ เดาวฺละฮฺ อิสลามียะฮฺ มุฟตะรอ อะลัยฮา ; ดร.อับดุลอะซีซฺ อัช-ชินาวียฺ 1/66)
และนี่คือคำตอบสำหรับคำถามในข้อเขียนของอาจารย์ที่ว่า : “และหากมี (ระบบผู้นำศาสนา) ถามว่า เคยมีในยุคใดสมัยใดในประวัติศาสตร์อิสลาม”
ประเด็นสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ชื่อเรียกบุคคลว่าชื่ออะไร? หากิมหรือจุฬาราชมนตรี แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า จุฬาราชมนตรีเป็นใครและมีสถานภาพเป็น “วะลียุลอัมรฺ” หรือไม่ต่างหาก เช่นเดียวกับคำว่า กอฎียฺคือหากิมใช่หรือไม่ และชื่อเรียก โต๊ะกาลี, โต๊ะกอฎียฺ หรือดาโต๊ะยุติธรรม คือ กอฎียฺที่มีหน้าที่ตัดสินข้อพิพาท (หากิม) ใช่หรือไม่? และคำว่า วะลียุลอัมร์ (ผู้รับผิดชอบกิจการศาสนาอิสลาม) เทียบได้กับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีหรือไม่?
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ท่านอาจารย์เขียนว่า :
“ในตัฟสีรฺเล่มใดที่อธิบายว่า “อุลิลอัมริมิงกุม” หมายถึง ผู้นำ (ศาสนาเท่านั้น) ในรัฐที่ไม่ใช่อิสลาม”
คำตอบ
1) ท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลหะฮฺกล่าวรายงานจากท่านอิบนุอับบาส (ร.ฎ.) ว่า : وأولى الأمر منكم หมายถึง บรรดานักวิชาการฟิกฮฺและนักปราชญ์ทางศาสนา ( أهل الفقه والدين ) และเช่นนี้มุญาฮิด, อะฏออฺ,อัล–หะสัน อัล–บะเศาะรียฺ และอบุลอาลิยะฮฺ กล่าวว่า وأولى الأمر منكم หมายถึง บรรดานักปราชญ์ ( العلماء ) และตามสิ่งที่ปรากฏชัด วัลลอฮุอะอฺลัม แท้จริงประโยคนี้ครอบคลุมในกรณีของอุลิลอัมรฺทั้งหมดจากบรรดาผู้นำ ( الأمراء ) และบรรดานักปราชญ์ ( العلماء ) ดังที่กล่าวมาก่อนแล้ว”
(ตัฟสีรฺ อัล–กุรอาน อัล–อะซีม ; อิบนุกะษีรฺ เล่มที่ 1 หน้า 518 สำนักพิมพ์อีซา อัล–บาบียฺ อัล–หะละบียฺ)
คำอธิบาย ( أولى الأمر منكم ) ว่าหมายถึง “อะฮฺลุลฟิกฮฺ วัดดีน” คือ นักปราชญ์ฟิกฮฺและศาสนา แปลง่ายๆก็คือ นักวิชาการศาสนาหรือผู้นำศาสนาที่มีความสันทัดในวิชาการฟิกฮฺและวิชาการศาสนา! ถึงแม้คำอธิบายในอีกรายงานหนึ่งจะระบุว่า หมายถึง อัล–อุมะรออฺ ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะอิบนุกะษีรฺ (ร.ฮ.) ระบุว่าอายะฮฺนี้ครอบคลุมทั้งนักปกครองและบรรดานักปราชญ์ทางศาสนาด้วย
2) อิมามอัฏ-เฏาะบะรียฺ (ร.ฮ.) อธิบายประโยค أولى الأمر منكم ว่า : นักวิชาการบางคนกล่าวว่า : พวกเขาคือบรรดาผู้นำ ( هم الأمراء ) และคนอื่นๆกล่าวว่า หมายถึง นักปราชญ์และนักวิชาการฟิกฮฺ ( ِأَهلُ الْعِلْمِ وَالْفِقْه ) และอ้างรายงานจากมุญาฮิดว่า หมายถึง บรรดานักวิชาการฟิกฮฺจากพวกท่าน ( أولى الفقه منكم ) และอีกรายงานหนึ่งจากมุญาฮิด ระบุว่า ( أولى الفقه والعلم ) คือบรรดานักวิชาการฟิกฮฺและผู้รู้ และอ้างรายงานจากอิบนุ อบีนะญีหฺ จากมุญาฮิดว่า : หมายถึง นักวิชาการฟิกฮฺในด้านศาสนาและสติปัญญา และจากอะลี อิบนุ อบีฏอลหะฮฺ จากอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) ว่า : หมายถึง อะฮฺลุลฟิกฮฺ วัดดีน (นักวิชาการฟิกฮฺและศาสนา) และจากท่านอะฏออฺระบุว่า หมายถึง อัล–ฟุเกาะฮาอฺ วัล–อุละมาอฺ เป็นต้น
(ตัฟสีรฺ อัฏ–เฏาะบะรียฺ (ญามิอุลบะยาน ฟี ตะอฺวีล อัล–กุรอาน) เล่มที่ 4 ดารฺ อัล–กุตุบ อัล–อิลมียะฮฺ หน้า 150, 151, 152)
คำอธิบาย (ตัฟสีรฺ) ประโยค ( أولى الأمر منكم ) ในตัฟสีรฺ อัฏเฏาะบะรียฺระบุชัดว่าหมายถึงบรรดาผู้รู้ทางศาสนา (ฟุเกาะฮาอฺ–อุละมาอฺ) ซึ่งเป็นผู้นำในด้านศาสนาขณะที่คำอธิบายที่ว่า อัล–อุมะรออฺ มุ่งหมายถึงผู้นำที่มีอำนาจทางการเมืองและการปกครอง บรรดาฟุเกาะฮาอฺหรืออุละมาอฺไม่มีอำนาจทางการเมืองการปกครองและไม่ใช่ “หากิม” ตามคำนิยามของท่านอาจารย์ครับ!
3) สัยยิด ศิดดีก หะสัน ข่าน อธิบายคำว่า ( أولى الأمر منكم ) หมายถึง “พวกเขาคือบรรดาอิมาม (อะอิมมะฮฺ) บรรดาสุลฏอน (สะลาฏีน) บรรดาผู้พิพากษา (อัล–กุฎอฮฺ) บรรดาผู้นำที่ชอบธรรม (อุมะรออฺ อัล–หัก) และบรรดาผู้ปกครองที่เที่ยงธรรม (วุลาตุลอัดล์) เช่น บรรดาอัล–คุละฟาอฺ อัร–รอชิดูนและผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขาจากบรรดาผู้ที่ได้รับทางนำ และทุกๆคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามบัญญัติศาสนา (วิลายะฮฺ ชัรฺอียะฮฺ) มิใช่มีหน้าที่รับผิดชอบแบบฏอฆูต (วิลายะฮฺ ฏอฆูตียะฮฺ)
และสัยยิดศิดดีก หะสันข่าน (ร.ฮ.) ก็ระบุรายงานจากญาบิรฺ อิบนุ อับดิลลาฮฺ (ร.ฎ.) และมุญาฮิด (ร.ฮ.) ว่า : แท้จริงอุลิลอัมริ หมายถึง อะฮฺลุลกุรอานวัลอิลม์ (ปราชญ์แห่งคัมภีร์อัล–กุรอานและวิชาการ) และตามนี้อิมามมาลิก (ร.ฮ.) และอัฎ–เฎาะหฺหาก (ร.ฮ.) กล่าวเอาไว้ และถูกรายงานจากมุญาฮิด ว่า : หมายถึง บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และอิบนุ กัยสาน กล่าวว่า : หมายถึง อะฮฺลุลอักล์ วัรเราะอฺย์ (นักวิชาการผู้มีปัญญาและทัศนะ)
และจากท่านอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) ว่า หมายถึง บรรดานักวิชาการฟิกฮฺและบรรดานักปราชญ์ที่สั่งสอนผู้คนให้รู้ถึงหลักคำสอนอันเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาของพวกเขาเป็นคำกล่าวของท่านอัล–หะสัน , อัฎ–เฎาะหฺหากและมุญาฮิด แต่ที่มีน้ำหนักคือคำกล่าวแรก เนื่องจากมีบรรดาหะดีษที่รายงานอย่างถูกต้องจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ว่ามีคำสั่งให้เชื่อฟังบรรดาอิมามและบรรดานักปกครองที่รับผิดชอบในสิ่งที่เป็นไปเพื่อพระองค์อัลลอฮฺและบรรดามุสลิมที่ว่าด้วยสิทธิประโยชน์ (มัศละหะฮฺ)…”
(ฟัตหุลบะยาน ฟี มะกอศิด อัล–กุรอาน ; ศิดดีก หะสัน ข่าน เล่มที่ 3 หน้า 155 อัล–มักตะบะฮฺ อัล–อัศรียะฮฺ)
คำอธิบายของศิดดีก หะสัน ข่าน ได้ให้น้ำหนักในคำกล่าวแรกซึ่งเป็นคำอธิบายของท่านโดยครอบคลุมถึงบุคลคลทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามหลักการของศาสนา (วิลายะฮฺ ชัรฺอียะฮฺ) แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือมีคำอธิบายที่ว่า อุลิลอัมรฺมิงกุม หมายถึง นักวิชาการทางศาสนาหรือผู้นำทางศาสนาซึ่งไม่ได้มีอำนาจในการปกครองรัฐ ไม่มีอำนาจในการลงโทษอย่างที่อาจารย์กำหนดไว้ในนิยามของท่าน และคำว่า “วิล“ยะฮฺ ชัรฺอียะฮฺ” ก็มีนัยครอบคลุมและรวมทั้งผู้มีอำนาจในการลงโทษ เช่น วาลียฺ ( الوالي ) อันหมายถึงผู้ปกครอง และวะลียฺ ( الولي ) ซึ่งหมายถึงผู้ปกครองเช่นกันแต่อาจจะไม่มีอำนาจในการลงโทษ เช่น วะลียฺในการสมรส (วะลียุนนิกาหฺ) ญาติใกล้ชิดของผู้เสียชีวิต และผู้ปกครองทรัพย์ของเด็กกำพร้า เป็นต้น
4) อิมาม อัล–กุรฏุบียฺ (ร.ฮ.) ระบุคำกล่าวของท่านญาบิรฺ อิบนุ อับดิลลาฮฺ (ร.ฎ.) และมุญาฮีด ว่า : อุลุล–อัมริ หมายถึง อะฮฺลุลกุรฺอาน วัล–อิลม์ และอิมามมาลิก (ร.ฮ.) เลือกคำอธิบายนี้ และระบุคำกล่าวของอัฏ–เฏาะหากว่า : หมายถึง อัล–ฟุเกาะฮาอฺ วัล–อุละมาอฺ ฟิดดีน (นักวิชาการฟิกฮฺและบรรดานักปราชญ์ในศาสนา) (ตัฟสีรฺ อัล–กุรฏุบียฺ เล่มที่ 2 หน้า 1829 ดารุชชะอฺบ์)
5) ตัฟสีรฺ อัด–ดุรฺรุลมันษูรฺ ฟี อัต–ตัฟสีรฺ อัล–มะอฺษูรฺ ; อิมามอัส–สุยูฏียฺ เล่มที่ 2 หน้า 575 ระบุรายงานหลายกระแสว่า ( وأولى الأمر منكم ) หมายถึง บรรดานักวิชาการฟิกฮฺและบรรดานักปราชญ์ที่เป็นผู้รู้ทางศาสนา
6) ตัฟสีรฺ อัยสะรุตตะฟาสีรฺ ; อบูบักร ญาบิร อัลญะซาอิรียฺ เล่มที่ 1 หน้า 496 ระบุว่าหมายถึงบรรดาผู้นำ (อุมะรออฺ) และบรรดานักปราชญ์จากชาวมุสลิมและระบุในหน้า 498 เล่มเดียวกันว่า “ 3- จำเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง (ฏออะฮฺ) ต่ออัลลอฮฺและเชื่อฟังท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และบรรดาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของชาวมุสลิมจากบรรดาผู้ปกครอง (หุกกาม) และบรรดานักปราชญ์นักวิชาการฟิกฮฺ (อุละมาอฺ–ฟุเกาะฮาอฺ)…”
คำอธิบายนี้แยกชัดเจนระหว่างบรรดาผู้เป็นหากิมคือนักปกครองกับบรรดานักวิชาการศาสนาซึ่งเรียกกันว่า บรรดาผู้นำทางศาสนาโดยจารีตในภาษาไทย เมื่อกล่าวถึงกลุ่มผู้นำทางศาสนาอิสลามก็จะหมายถึงบรรดานักวิชาการโต๊ะครูปอเนาะ (บาบอ) ซึ่งชำนาญวิชาฟิกฮฺและศาสตร์แขนงต่างๆตลอดจนอิมาม คอเต็บ บิหลั่น เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึงผู้นำสูงสุดฝ่ายศาสนาอิสลามในประเทศไทยก็จะหมายถึง จุฬาราชมนตรี
หากอาจารย์ค้านว่าจุฬาราชมนตรีซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัย (ฟัตวา) โดยมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาไม่เข้าอยู่ในคำจำกัดความของอุลิลอัมริมิงกุม ข้าพเจ้าก็ขอยกตัฟสีรฺอีกสัก 1 เล่มเพื่อชี้ว่า ผู้มีหน้าที่วินิจฉัยปัญหาศาสนาหรือมุฟตียฺ เข้าอยู่ในคำจำกัดความนี้หรือไม่! ในตัฟสีรฺ ตัยสีรฺ อัล–กะรีม อัรฺ–เราะหฺมาน ฟี ตัฟสีรฺ กะลามิลมันนาน ของอิมามอัล–ลามะฮฺ อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ นาศิรฺ อัส–สะอฺดียฺ อธิบายว่า : และพวกเขาคือ บรรดาผู้รับผิดชอบต่อผู้คนจากบรรดาผู้นำ (อัล–อุมะรออฺ) บรรดาผู้ปกครอง (อัล–หุกกาม) และบรรดาผู้วินิจฉัยปัญหาศาสนา (อัล–มุฟตีน) …” หน้า 173 สำนักพิมพ์ดารุลหะดีษ กรุงไคโร ปีพิมพ์ ค.ศ.2005
บรรดาผู้วินิจฉัยและตอบปัญหาศาสนา (มุฟตียฺ) จะเป็นผู้นำศาสนาหรือไม่? คงไม่สำคัญไปกว่าประเด็นที่ว่า มีคำอธิบาย (ตัฟสีรฺ) ประโยค (أولى الأمر منكم) ว่า หมายรวมถึงผู้ทำหน้าที่ออกคำฟัตวาที่เรียกว่า มุฟตียฺด้วยเช่นกัน และหน้าที่นี้เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของท่านจุฬาราชมนตรี และมุฟตียฺโดยปกติเป็นเพียงผู้รู้ทางศาสนา มิใช่ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง แม้คำฟัตวาก็ไม่มีผลบังคับแก่ผู้ขอคำวินิจฉัย ต่างจากกรณีการตัดสินพิพากษาของผู้เป็นกอฎียฺที่มีผลบังคับแก่คู่กรณี
(อัล–อัฏวาอฺ ; ดร.อับดุลกอดิรฺ หน้า 352)
ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากจุฬาราชมนตรีได้ออกคำวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาศาสนาแล้วไม่มีผลบังคับเพราะเป็นฟัตวามิใช่เกาะฎออฺ กระนั้นคำอธิบายในตัฟสีรฺอัส–สะอฺดียฺก็รวมเอามุฟตียฺเข้าไปอยู่ในความหมายของอุลุลอัมร์ ที่จำเป็นต้องฏออะฮฺเชื่อฟังเช่นเดียวกับบรรดาผู้นำสูงสุดและบรรดานักปกครอง ท่านอาจารย์อาจจะค้านว่าในเมื่อคำฟัตวาของจุฬาราชมนตรีไม่มีผลบังคับแล้วทำไมจึงบอกว่าจำเป็นต้องฏออะฮฺเชื่อฟัง ก็ตอบได้ว่า ตัวของคำฟัตวาเป็นการบอกให้ทราบถึงหลักการของศาสนา มิใช่เป็นคำพิพากษา ดังนั้นคำฟัตวาจึงไม่มีผลบังคับด้วยตัวของมันเอง แต่ที่จำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ออกคำฟัตวา (มุฟตียฺ) นั่นเป็นกรณีของสถานภาพบุคคลที่เรียกว่า “วะลียุลอัมรฺ” ซึ่งมีหลักฐานจากอัล–กุรอานและอัล–หะดีษมายืนยันรับรองว่า ผู้มีสถานภาพดังกล่าว (คือตัวบุคคล) เป็นผู้ที่จำต้องได้รับการเชื่อฟัง จึงต้องแยกระหว่างลักษณะของคำฟัตวากับบุคคลผู้มีหน้าที่ออกคำฟัตวาคือมุฟตียฺในเรื่องนี้ วัลลอฮุอะอฺลัม
สำหรับข้อเขียนในเชิงคำถามของอาจารย์ที่ว่า
“ในตัฟสีรฺเล่มใดที่อธิบายว่า “อูลิ้ลอัมริมิงกุม” หมายถึง ผู้นำ (ศาสนาเท่านั้น) ในรัฐที่มิใช่อิสลาม ประเทศไทยเป็นรัฐอิสลามหรือรัฐกุฟรฺ ข้อบัญญัติแตกต่างกันหรือไม่…”
เราได้ให้คำตอบไปแล้วว่า
มีตำราตัฟสีรฺหลายเล่มที่อธิบายว่า “อูลิ้ลอัมริมิงกุม” หมายถึง บรรดาผู้รู้หรือนักวิชาการด้านศาสนานอกเหนือจากบรรดาผู้นำรัฐและบรรดาผู้ปกครองที่เป็นชาวมุสลิมและโดยจารีต (อัล–อาดะฮฺ) ในบ้านเราถือว่าบรรดาผู้นำศาสนาก็คือผู้รู้หรือผู้เป็นนักวิชาการด้านศาสนาและผู้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีนับตั้งแต่ท่านจุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ (ร.ฮ.) จนถึงท่านจุฬาราชมนตรีในปัจจุบันต่างก็เป็นผู้รู้ทางศาสนาทั้งสิ้น
เราไม่ได้พูดถึงบรรดาขุนนางที่มีราชทินนาม ออกญาจุฬาราชมนตรีที่กรมท่าขวาหรือแม่กองแขกตามทำเนียบศักดินาและพระไอยการที่มีมาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ถึงแม้ว่าราชทินนามดังกล่าวจะเป็นที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในภายหลังก็ตาม เพราะเป็นเรื่องที่ต่างกรรมต่างวาระและต่างบริบทตลอดจนสถานภาพของบุคคลที่มีดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีก็เปลี่ยนไปแล้วภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในสยามประเทศซึ่งจุฬาราชมนตรีที่เป็นมุสลิมอะหฺลิสสุนนะฮฺ วัล–ญะมาอะฮฺ มีสถานภาพเป็นผู้นำฝ่ายกิจการศาสนาอิสลามกินระยะเวลาร่วม 70 ปี ซึ่งไม่นับรวมช่วงเวลาของขุนนางมุสลิมที่มีราชทินนาม ออกพระจุฬาราชมนตรีหรือพระยาจุฬาราชมนตรีหรือพระจุฬาราชมนตรี ที่กินตำแหน่ง “แม่กองแขก” คือ ควบคุมดูแลและปกครองแขกทั้งปวงนับแต่สมัยอยุธยาที่ย้อนเวลากลับไปในอดีตอีกหลายร้อยปี
ความเป็นผู้นำของประชาคมมุสลิมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีจึงผ่านช่วงเวลาที่ยาวนานหลายศตวรรษในประวัติศาสตร์ของสยามประเทศ เรียกได้ว่า กลายเป็นธรรมเนียมและจารีตที่รู้กันว่า จุฬาราชมนตรี คือผู้นำประชาคมมุสลิมนับแต่สมัยอยุธยาและเป็นผู้นำศาสนาคือผู้รู้ในศาสนาอิสลามฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล–ญะมาอะฮฺตลอดระยะเวลาร่วม 70 ปีในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อจารีตเป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานในเรื่องมุอามะละฮฺอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้ภาษา คำว่า จุฬาราชมนตรี จึงมีความหมายที่รับรู้กัน (มัชฮูรฺ) ว่า หมายถึง ผู้นำประชาคมมุสลิมหรือผู้นำสูงสุดฝ่ายกิจการศาสนาอิสลามหรือผู้นำศาสนาอิสลามที่มีอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะในประเทศไทย
เรื่องนี้จึงอยู่ในกรอบของหลักนิติศาสตร์อิสลาม (กออิดะฮฺ ฟิกฮียะฮฺ) ที่ว่า : ( اَلْعَادَةُ مُحَكَّمَة ) “จารีตนั้นย่อมถูกนำมาตัดสินใด” หมายความว่า จารีต (อาดะฮฺ) ไม่ว่าจะเป็นจารีตโดยรวม (อามมะฮฺ) หรือจารีตโดยเฉพาะ (คอศเศาะฮฺ) จะถูกกำหนดให้เป็นผู้ชี้ขาดเพื่อการยืนยันข้อชี้ขาด (หุกม์) ตามบัญญัติของศาสนา (ชัรฺอียฺ) ที่ไม่มีตัวบทใดๆมากำหนดถึงสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อชี้ขาดนั้นเป็นการเฉพาะ ดังนั้นหากไม่มีตัวบทใดๆที่ขัดแย้งกับจารีตถูกระบุมานับแต่ต้น หรือมีการระบุแต่เป็นตัวบทกว้างๆจารีตนั้นก็ย่อมถูกพิจารณาและเรียกจารีต (อาดะฮฺ) ทีมีการดำเนินสืบเนื่องบนสิ่งนั้นๆที่ถูกยอมรับสำหรับสันดานอันเป็นปกติและมีการหวนกลับไปยังสิ่งนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า : “จารีตโดยพฤตินัย” (อัล–อุรฺฟุล อะมะลียฺ)
(ดูชัรฺหุล เกาะวาอิด อัล–ฟิกฮียะฮฺ ; ชัยคฺ อะหฺมัด อิบนุ ชัยคฺมุฮัมมัด อัซ–ซัรฺกอ พิมพ์ครั้งที่ 2 (1989) ดารุลเกาะลัม (ดามัสกัส) หน้า 219)
และจารีตโดยพฤตินัยที่จะถูกพิจารณาในการยืนยันถึงข้อชี้ขาดทางศาสนา (อัล–หุกม์ อัช–ชัรฺอียฺ) จะต้องไม่ค้านหรือแตกต่างจากสิ่งที่ศาสนิกชน (อะฮฺลุดดีน) ที่มีสติปัญญาอันเที่ยงตรง (เป็นปกติ) และไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย (มุงกัรฺ) หรือเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการของศาสนาในมุมมองของพวกเขา (อ้างแล้ว หน้าเดียวกัน)
ถามว่า ผู้คนในสยามประเทศยอมรับและถือกันนับแต่อดีตว่าผู้ใดคือผู้นำศาสนาและเป็นผู้นำสูงสุดของประชาคมมุสลิม และการยอมรับนั้นเป็นความสืบเนื่องยาวนานและไม่ใช่สิ่งที่ค้านกับตัวบทของศาสนา ใครคือบุคคลที่ว่านั้น? คำตอบก็คือ จุฬาราชมนตรี มิใช่ตัวข้าพเจ้าและมิใช่อาจารย์อย่างแน่นอน และนีคือคำตอบสำหรับข้อเขียนของอาจารย์ที่ว่า
“…หากผมประกาศว่า ผมคือผู้นำของประเทศไทย ผมพูดได้หรือไม่ พูดได้ แต่ข้อเท็จจริงเป็นหรือไม่ ตอบว่าไม่ ดังนั้นปัญหามันคือใครคือผู้นำ เข้าใจหรือยัง”
คำตอบก็คือ คำประกาศของอาจารย์มีอะไรรองรับหรือไม่ พูดน่ะพูดได้ แต่โดยจารีต กฎหมาย และหลักการของศาสนาในเรื่องสถานภาพของผู้นำ มีข้อใดบ้างที่มารองรับการเป็นผู้นำของอาจารย์ เพราะอาจารย์มิใช่ผู้นำของประชาคมมุสลิม และอาจารย์ก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ประชาคมมุสลิมยอมรับโดยพฤตินัยนั่นแหล่ะคือปัญหาของอาจารย์เอง ประชาคมมุสลิมโดยส่วนใหญ่เขารู้กันโดยเป็นปกติแล้วว่า ผู้นำของพวกเขาคือ จุฬาราชมนตรี แต่คนที่ยังไม่รู้ในข้อนี้ก็คือตัวอาจารย์เองอาจารย์เข้าใจหรือยังล่ะ! ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท่านจุฬาราชมนตรีและประชาคมมุสลิมโดยส่วนใหญ่แต่ปัญหาอยู่ที่ความเข้าใจของอาจารย์เองต่างหาก
“ความรู้คือทางสว่างในการตัดสินใจ” มีคนบังคับให้ตาม “จุฬา” ผมถามว่าจุฬาคือใคร มีคนตอบว่า “คือผู้นำ” ผมถามว่า “ผู้นำอะไร” เพราะในศาสนาเรามีผู้นำหลายประเภท หลายระดับ การพูดโดยรวมๆมันสะท้อนให้เห็นความไม่ลุ่มลึก ไม่ละเอียด หากเรายังไม่ทราบเลยว่าต้องตามอย่างไร ตามหรือไม่ หรือว่าไม่ต้องตามแล้วจะรีบร้อนตามไปทำไม”
แน่นอน ความรู้คือทางสว่างในการตัดสินใจ และคนที่รู้ว่าใครคือผู้นำของตนก็ย่อมอยู่ในทางสว่างและตัดสินใจได้ตามสิ่งที่ตนรู้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีคนตอบคำถาม “จุฬาคือใคร” ว่าคือผู้นำ และไม่สำคัญเลยที่ว่าเมื่อยอมรับว่าผู้นั้นเป็นผู้นำที่ควรตามโดยรู้ว่าการตามนั้นไม่ผิดต่อหลักการของศาสนา คนที่ถูกยอมรับว่าเป็นผู้นำจะอยู่ในประเภทใด ระดับใดก็คงต้องตาม เพราะตัวบทหลักฐานพูดกว้างๆถึงการฏออะฮฺเชื่อฟังต่อผู้นำ และคำอธิบายของนักวิชาการก็ระบุชัดเจนว่า บุคคลที่เป็นผู้ปกครอง, อิมามนำละหมาด, เจ้าหน้าที่เก็บซะกาต, บรรดาผู้รู้และนักปราชญ์, แม่ทัพผู้คณะเดินทาง, บิดามารดา, ครูบาอาจารย์, สามีและบุคคลที่มีหน้าที่ออกคำฟัตวา (มุฟตียฺ) ล้วนเป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้คำจำกัดความว่า “อูลิล อัมร์” ซึ่งจำต้องฏออัตและเชื่อฟัง
ส่วนรายละเอียดว่าด้วยประเภทหรือระดับมิใช่ข้ออ้างที่จะนำมาค้านว่า ไม่ต้องฏออะฮฺเชื่อฟัง เพราะนั่นเป็นเรื่องของเนื้อหาทางวิชาการ และในขณะที่เราเชื่อว่าบุคคลมีสถานภาพที่ศาสนากำหนดให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องรู้ถึงรายละเอียดและเนื้อหาทางวิชาการ ดังกรณีที่เราละหมาดตามหลังอิมามเมื่อเราเชื่อว่าผู้เป็นอิมามมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่นำละหมาดและการละหมาดตามของเราใช้ได้ตามหลักศาสนา เราก็สามารถตามอิมามผู้นั้นในการละหมาดได้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องรู้รายละเอียดและเนื้อหาทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียก่อนถึงจะตามได้ ศาสนาไม่ได้คาดคั้นเอาโดยเคร่งครัดถึงเพียงนั้น
ท่านอัล-ลามะฮฺ อิบนุ อบิลอิซฺ อัล-หะนะฟียฺ อธิบายว่า : แท้จริงเป็นที่อนุญาตสำหรับบุคคลในการที่บุคคลนั้นจะละหมาดข้างหลังอิมามที่เขาผู้นั้นไม่รู้ว่าอิมามมีการกระทำอุตริกรรมและการฝ่าฝืนโดยการเห็นพ้องของบรรดาอะอิมมะฮฺ และไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากเงื่อนไขในการตามอิมามว่า มะอฺมูมจำต้องรู้ถึงอิอฺติกอดของอิมามที่นำเขาละหมาดและไม่มีเงื่อนไขว่ามะอฺมูมจะต้องทดสอบอิมามเสียก่อนโดยถามว่า ท่านมีอิอฺติกอดอะไร? ทว่าบุคคลผู้นั้นสามารถละหมาดตามหลังบุคคลที่ไม่รู้ถึงสถานภาพของเขาได้ (มัสตูรุลหาล)…”
(ชัรหุลอะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ 1/374)
ดังนั้นคนที่เขาเชื่อว่าจุฬาราชมนตรีคือผู้นำที่เขาต้องฏออะฮฺเชื่อฟัง จะไปกล่าวหาว่าเขาไม่ลุ่มลึก ไม่ละเอียดอย่างอาจารย์ก็คงไม่ได้ และเขาผู้นั้นก็ทราบเป็นอย่างดีว่าจะตามท่านจุฬาราชมนตรีอย่างไร? เพราะบรรดานักวิชาการในบ้านเราทั้งที่ยอมรับและไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของจุฬาราชมนตรีล้วนแต่อธิบายกันอยู่เนืองๆ ว่า ผู้นำนั้นเราจะตามอย่างไร? และคนที่ตามจุฬาราชมนตรีก็ไม่มีความลังเลว่าจะตามหรือไม่ก็ตาม เพราะเมื่อเขายอมรับว่าจุฬาราชมนตรีคือผู้นำ เขาก็ย่อมตามจุฬาราชมนตรีอยู่แล้ว คนที่ไม่ยอมรับต่างหากที่ยังสับสนว่าจะตามหรือไม่ต้องตาม ท้ายที่สุดก็เลยไม่ตามเพราะถูกกรอกหูว่า จุฬาราชมนตรีมิใช่ผู้นำตามหลักการของศาสนา
และเรื่องนี้คนที่ตามก็ไม่ได้รีบร้อนแต่เป็นที่ร้อนใจเสียมากกว่าว่า เมื่อการมีผู้นำสำหรับประชาคมมุสลิมไม่ว่าจะอยู่ในประเทศมุสลิมหรือไม่ใช่ก็ตามเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ หากละเลยเรื่องฟัรฎูกิฟายะฮฺก็จะกลายเป็นบาปสำหรับประชาคมมุสลิมโดยรวม พวกเขาจึงดำรงภารกิจที่วาด้วยฟัรฎูกิฟายะฮฺนี้ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีและถูกต้อง แต่กลับกลายเป็นว่า มีคนบางกลุ่มกำลังพูดหรือเขียนในทำนองที่ว่า ประชาคมมุสลิมไม่มีผู้นำ และที่เชื่อกันว่าเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่ผู้นำ นี่แหล่ะคือสิ่งที่น่าร้อนใจเพราะถ้าเป็นเช่นที่กล่าวอ้างมานั้นก็แสดงว่าประชาคมมุสลิมมีสภาพไม่ต่างอะไรกับผู้คนในยุคญาฮิลียะฮฺ
ซึ่งมีอัล-หะดีษและคำอธิบายของนักวิชาการระบุว่า :
مَنْ مات ولَيْسَ في عُنُقِهِ بَيْعَةٌ مَاتَ مِيْتَةً جَاهِلِيَّة
“ผู้ใดเสียชีวิตลงโดยไม่มีการสัตยาบันในต้นคอของเขา ผู้นั้นเสียชีวิตลงเยี่ยงการเสียชีวิตในยุคญาฮิลิยะฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม : 1851)
คำว่า : “ไม่มีการสัตยาบันในต้นคอของเขา” หมายถึงไม่เคยให้สัตยาบัน ( لم يُبَايِعْ ) คือการยอมรับถึงการเป็นผู้นำของผู้ที่ถูกให้สัตยาบัน ซึ่งมีการทำสัตยาบันให้แก่ท่านจุฬาราชมนตรีโดยบรรดาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศอย่างที่รู้กัน และคำว่า “เสียชีวิตแบบญาฮิลียะฮฺ หมายถึง เหมือนการเสียชีวิตของผู้คนในยุคญาฮิลียะฮฺบนความหลงผิด โดยที่พวกเขาเคยที่จะไม่เข้าสู่ภายใต้การเชื่อฟังผู้นำ และมองว่าสิ่งดังกล่าว (คือการเข้าสู่การเชื่อฟังผู้นำ) เป็นข้อตำหนิ
(นุซฮะตุล มุตตะกีน ชัรฺหุ ริยาฎิศศอลิหีน ; ดร.มุศเฏาะฟา สะอีด อัลคิน และคณะ ; สำนักพิมพ์ มุอัสสะสะฮฺ อัรฺริสาละฮฺ (2004) เบรุต หน้า 287)
สำหรับคำถามของอาจารย์ในข้อเขียนที่ว่า :
“ประเทศไทยเป็นรัฐอิสลามหรือรัฐกุฟร์ ข้อบัญญัติแตกต่างกันหรือไม่”
หากอาจารย์มุ่งหมายถึงข้อบัญญัติของนักวิชาการเกี่ยวกับระบอบรัฐศาสตร์อิสลาม ก็ตอบได้ว่า รัฐอิสลามกับรัฐกุฟร์ แตกต่างกันอยู่แล้วโดยโครงสร้างและลักษณะการปกครอง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ประชาคมมุสลิมที่เป็นชนส่วนน้อยในรัฐกุฟร์ไม่ต้องตามผู้นำที่เป็นมุสลิมของพวกเขา เพราะเรื่องการฏออะฮฺเชื่อฟังต่อผู้นำเป็นเรื่องจำเป็นทางศาสนา (อัล-วาญิบาตฺ อัด-ดีนียะฮฺ) อยู่ในหมวดเดียวกันกับหลักการที่ว่าด้วยการปฏิบัติตามสิ่งที่ศาสนาใช้ ( المأمُورات ) และสิ่งที่ศาสนาห้าม ( المنْهِيَّات ) สิ่งใดที่ศาสนามีบัญญัติสั่งใช้ มุสลิมก็จำต้องปฏิบัติเท่าที่มีความสามารถ ไม่ว่ามุสลิมผู้นั้นจะอยู่ในดินแดนใดหรือรัฐใดก็ตาม และสิ่งใดที่ศาสนาบัญญัติห้ามมิให้กระทำ มุสลิมก็จำต้องหลีกห่างจากสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง (ยกเว้นในกรณีเฎาะรูเราะฮฺเท่านั้น) ไม่ว่ามุสลิมผู้นั้นจะอยู่ในดินแดนใดหรือรัฐใดก็ตาม
และการที่มีประชาคมมุสลิมปรากฏเป็นกลุ่มชน (อัล-ญะมาอะฮฺ) อยู่ในดินแดนของรัฐกุฟร์ก็ไม่ได้หมายความว่า ประชาคมมุสลิมนั้นไม่ต้องมีผู้นำของพวกเขา เพราะในหลักปฏิบัติศาสนกิจ (อิบาดะฮฺ) ของชาวมุสลิมและเรื่องมุอามะละฮฺมีประเด็นมากมายที่เกี่ยวข้องกับการมีผู้นำหรือบุคคลที่ต้องรับผิดชอบการกิจของพวกเขา เช่นการละหมาดญะมาอะฮฺ การละหมาดวันศุกร์และวันอีดทั้งสอง การตัดสินเรื่องกฎหมายมรดกและครอบครัว ตลอดจนการสั่งใช้ให้กระทำความดีและห้ามปรามจากความชั่ว การดำรงไว้ซึ่งหลักคำสอนของอิสลามและการเผยแผ่เรียกร้องเชิญชวนสู่ศาสนาอิสลาม เป็นต้น
การปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามทั้งในส่วนที่เป็นฟัรฺฎุอัยนฺ และฟัรฎูกิฟายะฮฺสำหรับมุสลิมทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลและหมู่คณะ (อัล-ญะมาอะฮฺ) จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินแดนหรือรัฐที่พวกเขาตั้งถิ่นฐานและเป็นพลเมืองว่าเป็นดินแดนดารุลอิสลาม หรือดารุลหัรฺบ์ เพราะการปฏิบัติตามหลักการของศาสนาเป็นเรื่องที่เด็ดขาด ชัดเจนด้วยตัวบททั้งจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ มุสลิมจำต้องปฏิบัติตามเท่าที่มีความสามารถ ส่วนการแบ่งประเภทของดินแดนออกเป็นดารุลอิสลาม และดารุลหัรฺบ์และผลที่เกิดจากการแบ่งประเภทดังกล่าวเป็นเรื่องของการอิจญ์ติฮาดซึ่งไม่มีตัวบทที่ชัดเจนเด็ดขาดในเรื่องนี้
แต่ถ้าจะตอบคำถาม ก็ย่อมตอบได้ว่า “โลก“ หรือ “ดินแดน” ตามมุมมองของนักวิชาการในศาสนาอิสลามกรณีพิจารณาถึงการบังคับใช้หลักนิติศาสตร์อิสลามและไม่มีการบังคับใช้ ตลอดจนพิจารณาถึงความปลอดภัยและความหวาดกลัวของชาวมุสลิมจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1) ดินแดนแห่งความปลอดภัยและมีสันติสุขสำหรับชาวมุสลิม เรียกว่า ดารุลอิสลาม ทุกดินแดนที่มีอำนาจสำหรับมุสลิมในดินแดนนั้นย่อมเข้าอยู่ในดารุลอิสลาม ไม่ว่ามุสลิมในดินแดนนั้นจะเป็นชนส่วนใหญ่หรือเป็นชนกลุ่มน้อยก็ตาม และทุกดินแดนที่เข้าอยู่ภายใต้พันธสัญญาของมุสลิม (ซิมมะฮฺ) และพลเมืองของดินแดนนั้นปฏิบัติตามหลักชี้ขาดของอิสลามก็เข้าอยู่ในดารุลอิสลาม ถึงแม้ว่าดินแดนนั้นจะไม่มีมุสลิมอยู่เลยก็ตาม และทุกสถานที่ซึ่งชาวมุสลิมตั้งถิ่นฐานอยู่ในสถานที่นั้นๆโดยสามารถแสดงออกถึงหลักชี้ขาดของอิสลามและไม่มีผู้ใดมาห้ามชาวมุสลิมจากสิ่งดังกล่าวก็เข้าอยู่ในดารุลอิสลาม
(ดูอัต–ตัชรีอฺ อัลญินาอียฺ ฟิลอิสลาม เล่มที่ 1/291, 295)
2) ดารุลหัรฺบ คือดินแดนอื่นที่มิใช่ดารุลอิสลามและเป็นดินแดนแห่งความหวาดกลัวและการเป็นศัตรูกับชาวมุสลิม และถือว่าดินแดนอิสลามที่มีรัฐบาลปกครองแตกต่างกันเป็นดินแดนเดียวกัน เพราะดินแดนอิสลามถูกปกครองด้วยกฎหมายเดียวกันนั่นคือ หลักนิติธรรมอิสลาม (อัช–ชะรีอะฮฺ อัล–อิสลามียะฮฺ)
(อ้างแล้ว เล่มและหน้าเดียวกัน)
ถึงแม้ว่าคำนิยามดารุลอิสลามและดารุลหัรบ์หรือดารุลกุฟริจะมีหลากหลายตามที่นักวิชาการกำหนดเอาไว้ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมาก และข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะที่มีข้อมูลมากและมิใช่สาระสำคัญที่เรากำลังพูดถึงคือเรื่องผู้นำ เพราะถ้าลงรายละเอียดในเรื่องประเภทของดินแดนทั้ง 2 ประเภทบทความนี้จะกลายเป็นเรื่องของการเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับดินแดนตามรัฐศาสตร์อิสลามไปเสีย เพราะลำพังประเภทของดินแดนอิสลามที่พิจารณาว่ามีการดำรงไว้ซึ่งศาสนาของอัลลอฮฺและการภักดีต่อพระองค์ก็แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ ดารุลอัดลิ, ดารุลบัฆฺยิ, ดารุลบิดอะฮฺ, ดารุรฺริดดะฮฺ และอัด-ดารฺ อัล-มัสลูบะฮฺ ส่วนดารุลหัรบ์เมื่อพิจารณาถึงพันธสัญญาและข้อตกลงก็ยังแบ่งประเภทได้อีกอย่างน้อย 2 ประเภท
(อัล-อิสลาม ; สะอีด เหาวียฺ 2/160)
กระนั้นเราก็จะเห็นว่า ข้อเขียนในหนังสือ “อัต-ตัชรีอฺ อัล-ญินาอียฺ ฟิลอิสลาม” พิจารณาสภาพการณ์ของประชาคมมุสลิมที่ว่าด้วยความปลอดภัยและความสงบสุขตลอดจนการแสดงออกซึ่งสัญลักษณ์ของศาสนาและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามหลักการของศาสนาว่าเป็นสาระสำคัญในการแบ่งประเภทของดินแดนว่าเป็นดารุลหัรบ์หรือดารุลอิสลามซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนในหนังสือ “บะยานุน ลินนาส มินัล อัซฮัรฺ อัช-ชะรีฟ” เล่มที่ 1 หน้า 248 ระบุว่า : แท้จริงการแบ่งดินแดนออกเป็นดารุลกุฟร์และดารุลอิสลาม เป็นเรื่องของการอิจญ์ติฮาดอันเกิดจากสภาวการณ์ที่มีในสมัยของบรรดาอิมามมุจญ์ตะฮิด และไม่มีตัวบทใดๆ ในเรื่องนี้จากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ
บรรดานักวิชาการผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า : แท้จริงขอบเขตในการชี้ขาดดินแดนหนึ่งว่าเป็นดินแดนอิสลามหรือเป็นดินแดนสงคราม (ดารุลหัรฺบ์) คือ ความปลอดภัยที่มีต่อศาสนาเป็นหลัก กระทั่งว่าหากมุสลิมใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนหนึ่งที่ดินแดนนั้นไม่มีศาสนาใดๆเลยหรือศาสนาของดินแดนนั้นไม่ใช่ศาสนาอิสลาม และมุสลิมผู้นั้นก็สามารถประกอบศาสนกิจอันเป็นเครื่องหมายของศาสนาอิสลามได้โดยเสรี ดินแดนนั้นก็คือดินแดนอิสลาม ในความหมายที่ว่าไม่จำเป็นเหนือมุสลิมผู้นั้นที่จะต้องอพยพออกจากที่นั่น”
และในหนังสือ “อะหฺสะนุลกะลาม ฟิล ฟะตาวา วัล-อะหฺกาม” ของชัยคฺอะฏียะฮฺ ศอกร์ เล่มที่ 9/ 428 ระบุว่า เงื่อนไขของการที่จะปรากฏว่าดินแดนหรือแว่นแคว้นหนึ่งเป็น “ดารุสสลาม” (คือดินแดนแห่งสันติภาพ) มี 2 ประการคือ 1) ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และ 2) เสรีภาพ ถามว่าถ้าประเทศไทยโดยโครงสร้างทางรัฐศาสตร์เป็นดารุลกุฟร์เพราะมิได้ถูกปกครองด้วยหลักนิติธรรมอิสลาม
แล้วประเทศไทยเป็นดารุลหัรฺบ์คือดินแดนที่เป็นศัตรูและประกาศสงครามศาสนากับชาวมุสลิมและอิสลามใช่หรือไม่? หากตอบว่าใช่ ก็จำเป็นที่จะต้องอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) ออกจากประเทศไทยไปยังดารุลอิสลามใช่หรือไม่? หากตอบว่า ใช่! ก็ถามว่าแล้วทำไมประชาคมมุสลิมจำนวนหลายล้านคนจึงยังคงอยู่ในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นดารุลหัรฺบ์และดารุลอิสลามที่จำเป็นจะต้องอพยพไปยังที่นั่นคือประเทศใด? ใช่ประเทศซาอุดิอาระเบียหรือไม่?
ถ้าตอบว่าใช่! แล้วทำไมอาจารย์ยังคงอยู่ในประเทศไทยโดยไม่อพยพไปยังที่นั่นเล่า? เพราะการอพยพจากดินแดนที่กดขี่และทำสงครามกับมุสลิมและศาสนาอิสลามไปยังดินแดนอิสลามถือเป็นวาญิบตราบจนวันสิ้นโลก ส่วนการอพยพจากนครมักกะฮฺสู่นครมะดีนะฮฺในสมัยของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) นั้นสิ้นสุดลงแล้ว เพราะไม่มีการอพยพใดๆภายหลังการพิชิตนครมักกะฮฺ เพราะนครมักกะฮฺกลายเป็นดินแดนอิสลามไปแล้วเมื่อถูกพิชิต แต่ข้อชี้ขาด (หุกม์) ว่าด้วยการอพยพออกจากดารุลหัรฺบ์สู่ดินแดนอิสลามยังคงบังคับใช้อยู่ตราบจนวันสิ้นโลก
แล้วทำไมพวกเราจึงยังคงอยู่ในดินแดนนี้ที่เรียกว่าประเทศไทย แน่นอนมีคำตอบของนักวิชาการระบุเอาไว้แล้วข้างต้นว่า ดินแดนใดที่มุสลิมอาศัยอยู่ด้วยความปลอดภัยและมีเสรีภาพในการถือศาสนา นั่นถือว่า เป็นดินแดนอิสลามเพราะนักวิชาการระบุว่า : และหากว่ามีความหวังในการปรากฏชัดของอิสลาม (ในดินแดนนั้นๆ ) ก็ไม่มีสุนนะฮฺให้เขาผู้นั้นอพยพไปยังดินแดนอิสลาม แต่ที่ดีที่สุดคือให้ผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นั่น หรือว่าผู้นั้นมีความสามารถในการหักห้ามบรรดาผู้ปฏิเสธ (จากการคุกคามในลักษณะต่างๆและผู้นั้นก็สามารถอยู่ได้เพียงลำพังที่นั่น (ก็ย่อมไม่มีสุนนะฮฺให้อพยพจากที่นั่น)
และถ้าหากว่าผู้นั้นไม่มีความหวังในการได้รับความช่วยเหลือจากชาวมุสลิมให้ทำการอพยพนั้น ก็ย่อมปรากฏว่าการอาศัยอยู่ในที่นั่นของผู้นั้นเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) เพราะสถานที่ที่เขาอยู่ถูกเรียกว่า “ดารุลอิสลาม” และถ้าหากไม่มีทางที่ผู้นั้นจะทำให้ศาสนาของตนปรากฏชัดหรือผู้นั้นเกรงว่าจะถูกฟิตนะฮฺในศาสนาของเขาและเขาก็สามารถอพยพได้ ก็ถือว่าการอพยพของเขาเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) แล้วถึงแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้หญิงก็ตามที”
(ฟุรูอุลมาสาอิล (ภาษามลายู) 2/340)
แต่ถ้าอาจารย์จะค้านว่าประเทศไทยเป็นดารุลกุฟร์ เพราะมิได้ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามหรือหลักชะรีอะฮฺไม่มีบทลงโทษ (หุดูด) และ ฯลฯ ก็สุดแล้วแต่ท่านอาจารย์จะตัดสิน แต่ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างลุ่มลึก ถี่ถ้วนอาจารย์จะได้คำตอบบางอย่างที่หลายๆคนมองผ่าน นั่นคือ โดยทางการประเทศไทยไม่ได้ใช้กฎหมายชะรีอะฮฺก็จริง แต่ประชาคมมุสลิมก็ใช้กฎหมายชะรีอะฮฺในวิถีชีวิตของพวกเขาเกือบ 90% อยู่แล้วโดยข้อเท็จจริงอย่างน้อยหากเราพิจารณาเนื้อหาของนิติศาสตร์อิสลาม (อัล-อะหฺกาม อัล-ฟิกฮียะฮฺ) ก็จะมีอยู่ 2 หมวดใหญ่ๆ คือ อะหฺกาม อัล-อิบาดาตและอะหฺกาม อัล-มุอามะลาต ทั้ง 2 หมวดประชาคมมุสลิมในประเทศไทยใช้กันเป็นเรื่องปกติโดยไม่มีกฎหมายของรัฐเข้ามาแทรกแซงหรือห้าม
ส่วนเรื่องกฎหมายอาญาและบทลงโทษ (อะหฺกาม อัล–ญินายาตวัลหุดูด) นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใช้แต่ก็ใช่ว่ากฎหมายของบ้านเมืองจะไม่มีส่วนนี้อยู่เลยหรือขัดกับกฎหมายชะรีอะฮฺไปเสียทั้งหมด ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า บางคนเข้าใจว่ากฎหมายชะรีอะฮฺก็คือ กิศอศ เฆี่ยน และตัดมือ ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายชะรีอะฮฺเท่านั้นนี่แหล่ะคือปัญหา
ย้อนกลับมายังเรื่องของผู้นำซึ่งเป็นประเด็นที่เรากำลังวิเคราะห์ร่วมกัน
อาจารย์เขียนว่า :
“คำว่า ผู้นำ (อัล–อิมามะฮฺ) ตามหลักการอิสลามมีกี่ประเภท”
คำตอบ
ตำแหน่งอิมามะฮฺหรือคิลาฟะฮฺมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด (อิอฺติบ็ารฺ) ถ้าพิจารณาถึงความสมบูรณ์และความครบถ้วนของเงื่อนไขที่ปรากฏในคำนิยามก็แบ่งได้ 2 ประเภท
1) สมบูรณ์ (ตามมะฮฺ) คือตำแหน่งผู้นำที่ประชาคมมุสลิมเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ต่อความเป็นผู้นำนั้น และมีการทำสงครามญิฮาดกับบรรดาผู้ปฏิเสธภายใต้อำนาจและหน้าที่ของผู้นำ ตลอดจนศาสนาสูงเด่นด้วยเหตุแห่งการเป็นผู้นำนั้น
2) ไม่สมบูรณ์ (ฆอยรฺ ตามมะฮฺ) คือตำแหน่งผู้นำที่ผู้คนรวมตัวกันยอมรับความเป็นผู้นำของผู้ดำรงตำแหน่ง และไม่มีการญิฮาดกับบรรดาผู้ปฏิเสธเนื่องด้วยเหตุแห่งการเป็นผู้นำนั้น
(ดูมินฮาญุสสุนนะฮฺ ; อิบนุตัยมียะฮฺ 2/208, มันฮะญุสสุนนะฮฺ ; ดร.ยะหฺยา อิสมาอีล หน้า 250)
แต่ถ้าพิจารณาถึงความเป็นต้นแบบของสอดคล้องกับสุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็แบ่งได้ 2 ประเภท ตามหะดีษของท่านสะฟีนะฮฺ (ร.ฎ.) (ดูมะวาริด อัซ-ซอมอาน กิตาบ อัล-อิมาเราะฮฺ บทอัล-คิลาฟะฮฺ (369) , อัล-มุสตัดรอกของอัล-หากิม 3/145 และกิตาบอัส-สุนนะฮฺ 2/562) คือ
1) คิลาฟะฮฺ (อิมามะฮฺ) อัน–นุบูวะฮฺคือความเป็นผู้นำภายหลังจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กินระยะเวลา 30 ปีนับตั้งแต่เคาะลีฟะฮฺอบูบักร (ร.ฎ.) จนถึงการสละตำแหน่งของท่านอัล–หะสัน (ร.ฎ.) แก่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ในปีอัล–ญะมาอะฮฺ (ฮ.ศ.ที่ 41) ถือเป็นต้นแบบและมาตรฐานในเรื่องของผู้นำและการปกครองตามรัฐศาสตร์อิสลาม
(มินฮาญุสสุนะฮฺ 3/166)
2) คิลาฟะฮฺ (อิมามะฮฺ) อัล–มุลก์คือความเป็นผู้นำแบบกษัตริย์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการรับตำแหน่งของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) โดยท่านอัล–หะสัน (ร.ฎ.) ได้สละตำแหน่งและให้สัตยาบัน เป็นภาวะผู้นำในประวัติศาสตร์อิสลามที่ยาวนานและสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1924 เมื่อมุศเฏาะฟา เคมาล อตาเติร์กประกาศยกเลิกระบอบคิลาฟะฮฺแห่งราชวงศ์อัล–อุษมานียะฮฺ
(ดู “หาฎิรฺ อัล–อาลัม อัล–อิสลามียฺ” ; ชะกีบ อัร–สะลาน หน้า 351, 353 , อัศ–ศิรออฺ บัยนัลฟิกเราะฮฺ อัล–อิสลามียะฮฺ วัลฟิกเราะฮฺ อัล–ฆอรฺบียะฮฺ ; อัน–นัดวียฺ)
แต่ถ้าพิจารณาที่มาของตำแหน่งผู้นำและวิธีการก็สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1) การแต่งตั้งผู้นำด้วยตัวบท (อิมามะฮฺ บินนัศ)
2) การแต่งตั้งผู้นำด้วยการมอบพันธสัญญา หรือการสั่งเสีย (อิมามะฮฺ บิวิลายะติลอะฮฺด์ เอาบิลฺอีศออฺ)
3) การได้อำนาจผู้นำด้วยการยึดอำนาจ (อิมามะฮฺ บิลเกาะฮฺร์ วัลเฆาะละบะฮฺ)
4) การยอมรับผู้นำด้วยการสัตยาบัน (อิมามะฮฺ บิลบัยอะฮฺ)
(ดูอัล-ฟิกฮุลอิสลามียฺ ว่า อะดิลละตุฮู ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซ-ซุหัยลียฺ 6/673-684)
และถ้าหากจะพิจารณาถึงขอบเขตของอำนาจหน้าที่ (อัส-สุลเฏาะฮฺ วัล-วิลายะฮฺ) ก็แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1) ผู้นำที่มีอำนาจเต็มหรือครอบคลุม (อัล–อิมามะฮฺ ซาติล วิลายะฮฺ อัล–อามมะฮฺ) ซึ่งในช่วงต้นอิสลามผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐอิสลามจะมีลักษณะตามประเภทนี้
2) ผู้นำที่มีอำนาจเฉพาะ (อิมามะฮฺ ซาติล วิลายะฮฺ อัล–คอศเศาะฮฺ) เช่น กรณีของท่านอัมร์อิบนุอัล–อาศ (ร.ฎ.) ในช่วงแรกมีอำนาจเต็มในการปกครองอียิปต์ ต่อมาท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ (ร.ฎ.) ก็แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อบีสัรฺหินเป็นผู้มีอำนาจจัดเก็บภาษีอัล–เคาะรอจญ์และแต่งตั้งกะอฺบ์ อิบนุ สูรฺเป็นผู้พิพากษา (กอฎียฺ) อำนาจของผู้ปกครองเมือง (อัล–วาลียฺ) จึงจำกัดอยู่เฉพาะการเป็นแม่ทัพและอิมามนำละหมาด
(อัน–นุซุม อัล–อิสลามียะฮฺ ; ดร.หะสัน อิบรอฮีม หน้า 201 , อัส–สุลฏอตอัษ–ษะลาษ ; อัฏ–ฏิมาวียฺ หน้า 302…)
และหากพิจารณาถึงระดับของการเป็นผู้นำและขอบเขตของอำนาจหน้าที่ก็แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) อิมามะฮฺ อุซฺมา (ผู้นำสูงสุดของรัฐ) คือ ผู้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺนั่นเอง
2) อิมามะฮฺ ศุฆรอ (ผู้นำที่เล็กกว่าประเภทแรก) เช่น การเป็นอิมามนำละหมาด เป็นต้น
สำหรับคำถามของอาจารย์ที่ว่า :
“และตำแหน่งชัยคุลอิสลาม ( شيخ الإسلام ) มีขึ้นในสมัยใด และมีหรือไม่ในศาสนาอิสลาม และถ้าไม่มี มันพอจะเทียบเคียงได้กับตำแหน่งใด”
คำตอบ
อัล-หาฟิซฺ อิบนุ นาศิริดดีน อัด-ดิมัชกียฺ อัช-ชาฟิอียฺ (เสียชีวิตฮ.ศ.842) ได้ให้ความหมายคำ “ชัยคุลอิสลาม” ว่ามีหลายความหมาย ส่วนหนึ่งคือผู้อาวุโส (สูงอายุ) ในศาสนาอิสลามที่มีผมหงอกแล้ว บุคคลผู้นั้นมีความเป็นเอกเทศด้วยสิ่งดังกล่าวต่างจากบุคคลที่ผ่านพ้นช่วงอายุในรุ่นราวคราวเดียวกัน และผู้นั้นได้รับคำสัญญาที่บอกข่าวดีว่าได้รับความปลอดภัย คือ หะดีษที่ว่า “ผู้ใดมีผมหงอกในอิสลาม ผมหงอกนั้นคือรัศมีสำหรับเขาในวันกิยามะฮฺ” (เศาะหิหฺ อัล-ญามิอฺ อัศ-เศาะฆีรฺ ; อัล-อัลบานียฺ หะดีษเลขที่ 6307)
และส่วนหนึ่งมีความหมายในจารีตของผู้คนทั่วไปว่า : แท้จริงเขาคือ อัล-อุดดะฮฺ (หมายถึงผู้มีความพร้อม) เป็นที่พึ่งสำหรับผู้คนในทุกวิกฤติและส่วนหนึ่งคือ ผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งอิสลามด้วยการดำเนินตามวิถีของชาวอิสลาม โดยผู้นั้นปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีในช่วงวัยหนุ่มและความเขลาของวัยหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงดำรงอยู่บนแนวทาง (สุนนะฮฺ) ทั้งในส่วนที่เป็นฟัรฎูและสุนนะฮฺ และส่วนหนึ่งคือผู้อาวุโสในอิสลามเมื่อพิจารณาถึงระดับของอัล-วิลายะฮฺ และผู้คนถือว่าการมีชีวิตของผู้นั้นคือความจำเริญ และการมีอยู่ของผู้นั้นในหมู่พวกเขาคือสิ่งที่ถูกมุ่งหมาย
และส่วนหนึ่งของคำว่า ชัยคุลอิสลาม ที่มีความหมายอันเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้มีปัญญาเป็นเลิศเป็นนักวิเคราะห์ และรู้กันในหมู่อิมามแห่งสายรายงาน (นักวิชาการหะดีษ) ว่า แท้จริงบรรดาชัยคุลอิสลาม บรรดาอิมามผู้เรืองนามคือบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ดำเนินตามอย่างสุนนะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) …”
(อัรฺรอดดุลวาฟิรฺ ; อิบนุ นาศิริดดีน อัด-ดิมัชกียฺ , สำนักพิมพ์อัล-มักตับ อัล-อิสลามียฺ (1991) หน้า 51)
ความหมายของคำว่า ชัยคุลอิสลาม ตามที่ระบุข้างต้นเป็นความหมายในเชิงภาษา (ลุเฆาะวียฺ) ซึ่งอัล-หาฟิซ อิบนุ นาศิริดดีนอัด-ดิมัชกียฺ (ร.ฮ.) ได้ระบุว่ามีบรรดานักวิชาการในยุคต้นอิสลามเป็นจำนวนมากที่เป็นอิมามมุจญ์ตะฮิดและสมควรที่จะถูกเรียกว่า ชัยคุลอิสลาม (อางแล้ว หน้า 52 , 53) และในแต่ละรุ่นของนักวิชาการที่สมควรถูกเรียกว่า “ชัยคุลอิสลาม” นั้นก็จะมีระดับของความรู้รองลงมาจากชนรุ่นก่อน ดังนั้นทุกสถานที่ย่อมมีคำพูดที่เหมาะสม และทุกๆสมัยย่อมมีบรรดาอิมามและบุคคล (อ้างแล้วหน้า 54)
ดังนั้นฉายา (ละก็อบ) ชัยคุลอิสลามในประวัติศาสตร์ของนักปราชญ์อิสลามจึงมีบุคคลที่ได้รับฉายานามนี้นับตั้งแต่รุ่นของนักวิชาการฟิกฮฺทั้ง 7 ท่านซึ่งเป็นยุคสะลัฟศอลิหฺและนักวิชาการในหัวเมืองสำคัญของอิสลาม (อ้างแล้ว หน้า 52-54) นักวิชาการเช่นอิมามอัน-นะวาวียฺ (ร.ฮ.) อิมามอัล-อัสนะวียฺ (ร.ฮ.) ก็ถูกเรียกขานว่า ชัยคุลอิสลาม และนักวิชาการอย่างอัล-ฟิซารียฺ (ร.ฮ.) อัล-กุชัยรียฺ (ร.ฮ.) อัล-ฟาริกียฺ (ร.ฮ.) อัล-หาริษียฺ (ร.ฮ.) และอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ต่างก็ถูกเรียกขานว่า ชัยคุลอิสลาม ทั้งสิ้น (อ้างแล้ว หน้า 55)
และซุฮัยรฺ อัช-ชาวีชฺ ผู้ตรวจทานหนังสืออัรฺรอดดุล วาฟิรฺ ฯ กล่าวไว้ในเชิงอรรถ หน้า 56 ว่า “และนับตั้งแต่ 300 ปีมาแล้ว คำว่า ชัยคุลอิสลาม ได้ถูกเรียกขานแก่บรรดาชัยคุลอัซฮัรฺ และมุฟตียฺแห่งนครอิสตันบูลและบุคคลอื่นๆอีกจำนวนหลายสิบหรือนับพันคนก็ถูกเรียกขานว่า ชัยคุลอิสลาม ในทำนองเดียวกันฉายานามนี้ยังถูกใช้เรียกกับบรรดานักวิชาการเป็นจำนวนมากตราบจนปัจจุบันและมีบุคคลเป็นจำนวนมากจากพวกเขาไม่ได้มีความใกล้เคียงกับท่านอิบนุตัยมียะฮฺด้วยซ้ำ”
อนึ่งหนังสือ “อัรฺรอดดุลวาฟิรฺฯ” เป็นหนังสือที่ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุนาศิริดดีน อัด-ดิมัชกียฺ อัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) นักปราชญ์ในภาควิชาอัล-หะดีษและฟิกฮฺสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺได้แต่งขึ้นเพื่อปกป้องท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ซึ่งถูกเรียกขานว่า “ชัยคุลอิสลาม” จากผู้กล่าวหาท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) คือ มุฮัมมัด อิบนุ มุฮัมมัด อัล-อะญะมียฺ ที่รู้จักกันในชื่ออัล-อะลาอฺ อัล-บุคอรียฺ (เสียชีวิตฮ.ศ.841) ซึ่งบุคคลผู้นี้อ้างว่า ผู้ใดเรียกอิบนุตัยมียะฮฺว่า ชัยคุลอิสลาม ผู้นั้นเป็นกาฟิรและไม่อนุญาตให้ละหมาดตามหลังผู้นั้น (ดูอ้างแล้ว หน้า 21, 50) และกล่าวหาท่านอิมามอัน-นะวาวียฺ (ร.ฮ.) ว่า เป็นคนซอฮิรียฺไม่อนุญาตให้ดูตำราของเขา
เหตุนี้ท่านอัล-หาฟิซฺ อัด-ดิมัชกียฺ (ร.ฮ.) จึงแต่งหนังสืออัร-รอดดุลวาฟิรฺ ฯ เพื่อหักล้างคำกล่าวของอัล-อะลาอฺ อัล-บุคอรียฺและปกป้องท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) จึงเป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่า ทำไมนักวิชาการบางท่านในบ้านเราซึ่งอ้างว่ายึดในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺจึงกล่าวโจมตีท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นมุญัสสิมและเป็นกาฟิรฺ วัลอิยาซุบิลลาฮฺ ทั้งๆที่ปราชญ์อย่างท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนุนาศิริดดีน อัด-ดิมัชกียฺ (ร.ฮ.) ซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺได้ปกป้องท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.)
ย้อนกลับมายังเรื่องของคำว่า ชัยคุลอิสลาม ซึ่งคำเรียกขานนี้มีมานับแต่ช่วงยุคต้นอิสลามแล้วแต่โดยรวมมุ่งหมายถึงบรรดานักวิชาการที่มีความรู้อย่างเอกอุในด้านวิชาฟิกฮฺและอัล–หะดีษ ส่วนตำแหน่งชัยคุลอิสลามนั้น เริ่มมีปรากฏชัดเจนในรัชสมัยสุลฏอนสะลีม ข่านที่ 1 แห่งอุษมานียะฮฺ โดยเรียกมุฟตียฺแห่งนครอิสตันบูลว่า “ชัยคุลอิสลาม” ถือเป็นบุคคลสำคัญลำดับที่ 2 รองจากสุลฏอนซึ่งองค์กรที่รับผิดชอบในด้านการพิพากษาคดีความ (อัล–ฮัยอะฮฺ อัด–ดีนียะฮฺ) ขึ้นตรงกับชัยคุลอิสลามซึ่งมีหน้าที่ตัดสินคดีความที่มีการยื่นเรื่องขึ้นมา และถึงแม้ว่าการตัดสินคดีความของชัยคุลอิสลามจะเป็นที่ยุติลุล่วง แต่โดยมากจะเป็นเรื่องของการพิจารณาคดีความเสียมากกว่า
ในรัชสมัยสุลฏอนมุฮัมมัด อัล–ฟาติหฺและสุลัยมานที่ 1 มีการเพิ่มอำนาจให้แก่มุฟตียฺผู้ดำรงตำแหน่งชัยคุลอิสลาม ในปีฮ.ศ.978 สุลฏอนสะลีมข่านที่ 2 ได้ขอให้มุฟตียฺ ชัยคุลอิสลาม อบูสะอูด (ร.ฮ.) ออกคำฟัตวาเกี่ยวกับกรณีของเวนิส ต่อมาอำนาจของชัยคุลอิสลามก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ในราชธานีของอุษมานียะฮฺ บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการศาสนาจะขึ้นตรงกับอำนาจของมุฟตียฺหรือชัยคุลอิสลามและในหัวเมืองใหญ่ๆจะมีบรรดาผู้พิพากษาที่เรียกว่า กุฎอตฺ อัล–อัสกัรฺ ทำหน้าที่แทน ส่วนในหัวเมืองขนาดเล็กจะมีอิมามทำหน้าที่รับผิดชอบกิจการด้านศาสนาทั้งหมดโดยเฉพาะในเขตชนบท
(ตารีค อัด–เดาวฺละฮฺ อัล–อุษมานียะฮฺ ; ดร.อะลี หัสสูน หน้า 405)
อาจกล่าวได้ว่า ตำแหน่งชัยคุลอิสลาม ก็คือตำแหน่งของผู้นำทางศาสนาอิสลามที่มีอำนาจหน้าที่ปกครององค์กรฝ่ายศาสนาอิสลามและองค์กรฝ่ายตุลาการคือเป็นมุฟตียฺแห่งนครอิสตันบูลและดูแลฝ่ายตุลาการที่มีกอฎียฺ อัล-อัสกัรฺ ทำหน้าที่แทนในหัวเมืองใหญ่ (สันญักหรือบะชาลิก) และมีอิมามทำหน้าที่ในระดับท้องถิ่น
ชัยคุลอิสลามในบางรัชสมัยของอุษมานียะฮฺอาจควบ 2 ตำแหน่งในเวลาเดียวกันคือเป็นกอฎียฺสูงสุดและมุฟตียฺสูงสุด แต่อำนาจในด้านการปกครองและบริหาร จะเป็นของสุลฏอนแห่งอุษมานียะฮฺ รองลงมาคือ อัศ-ศอดรุล อะอฺซอม (เทียบได้กับนายกรัฐมนตรี (เราะอีสอัล-วุซะรออฺ) หรือ เอกอัครมหาเสนาบดีตามทำเนียบศักดินา แต่อัศ-ศอดรุลอะอฺซอมจะมีอำนาจทั้งฝ่ายกลาโหมและฝ่ายพลเรือน
ดังนั้นเมื่อถามว่าตำแหน่งชัยคุลอิสลามมีขึ้นในสมัยใด ก็ตอบได้ว่ามีขึ้นในสมัยสุลฏอนสะลีมข่านที่ 1 แห่งอุษมานียะฮฺ (ค.ศ.1512-1520) คือ มีมาร่วม 5 ศตวรรษที่ผ่านมา และคำถามที่ว่ามีหรือไม่มีในศาสนาอิสลาม ก็ตอบได้ว่า ถ้าถือเอาตำแหน่งชัยคุลอิสลามเป็นกอฎียฺหรือมุฟตียฺที่ถูกเรียกในตำแหน่งว่า ชัยคุลอิสลาม มีหรือไม่ก็ตอบได้ว่า มีในรัชสมัยอุษมานียะฮฺ ส่วนถ้าย้อนกลับไปในยุคก่อนหน้านั้น ชัยคุลอิสลาม มิใช่ตำแหน่งแต่เป็นฉายานาม (ละก็อบ) ของนักปราชญ์ในศาสนาอิสลามซึ่งบางท่านก็เคยดำรงตำแหน่งกอฎียฺและบางท่านก็มีสถานภาพเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาศาสนาซึ่งเรียกว่ามุฟตียฺ
และที่ถามว่า ชัยคุลอิสลามเทียบได้กับตำแหน่งใดบ้าง ก็ตอบได้ว่า ตำแหน่งมุฟตียฺสูงสุดในสมัยอุษมานียะฮฺคือชัยคุลอิสลาม และมิใช่เป็นการเทียบเพราะเป็นตำแหน่งเดียวกัน ส่วนตำแหน่งชัยคุลอิสลามเทียบได้กับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในบ้านเราใช่หรือไม่ ก็ตอบว่า ใช่ เพราะจุฬาราชมนตรีมีลักษณะใกล้เคียงกับตำแหน่งชัยคุลอิสลามในรัฐอุษมานียะฮฺถึงแม้ว่าจะมีอำนาจและหน้าที่แตกต่างกันในบางประเด็นและการเทียบนี้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันในทุกประเด็น เหตุเพราะอาจารย์ถามว่า “มันพอจะเทียบเคียงได้กับตำแหน่งใด” คำว่า “พอจะเทียบเคียงได้” ก็บ่งชี้ว่าเป็นเรื่องอนุโลม หรือจะเทียบกับตำแหน่งมุฟตียฺก็คงได้ เพราะจุฬามีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการวินิจฉัยประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม และเป็นผู้นำองค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย มีสำนักจุฬาราชมนตรีเป็นที่ทำการ เช่นเดียวกับมุฟตียฺในประเทศมุสลิมอย่างประเทศอียิปต์ก็จะมี “ดารุลอิฟตาอฺ อัลมิศริยะฮฺ” หรือในสมัยอุษมานียะฮฺก็มี “บาบ อัล–มัชยะเคาะฮฺ อัล–อิสลามียะฮฺ”
(ดูอัล–คิลาฟะฮฺ ; สัยยิด มุฮัมมัด เราะชีด ริฎอ หน้า 155)
แต่ถ้าอาจารย์จะค้านว่า ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของชัยคุลอิสลามไม่เคยมีในตัวบทของศาสนาอิสลาม ข้อนี้เราก็ไม่ปฏิเสธ เพราะในยุคสะลัฟศอลิหฺไม่ปรากฏว่ามีผู้ดำรงตำแหน่งชัยคุลอิสลาม (ย้ำว่าตำแหน่ง) ซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนของดร.ยูสุฟ อัล–กอรฎอวียฺ ในหนังสือ “เอาละวียาต อัล–บะเราะกะฮฺ อัล–อิสลามียะฮฺ” หน้า 142 แต่ตำแหน่งชัยคุลอิสลามเพิ่งจะมีในสมัยอุษมานียะฮฺซึ่งเป็นสมัยหลัง กระนั้นตำแหน่งชัยคุลอิสลามก็มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์การปกครองของมุสลิม และมีอยู่ในบ้านเราจริงๆ
ประเด็นอยู่ที่ว่า จุฬาราชมนตรีหรือชัยคุลอิสลามในประเทศไทยใช่ผู้นำของประชาคมมุสลิมไทยหรือไม่? นี่คือประเด็นที่เรากำลังพูดถึงและเราก็เชื่อว่าจุฬาราชมนตรีคือผู้นำของเรา ประชาคมมุสลิมส่วนใหญ่ก็เชื่อเช่นนั้น ถามว่าความเชื่อที่ว่านี้มีหลักฐานหรือเหตุผลทางวิชาการรองรับหรือไม่? คำตอบก็คือ มีทั้งจากอัล–กุรอานและสุนนะฮฺ ตลอดจนหลักการตามรัฐศาสตร์อิสลามที่อยู่ในตำรับตำรา และเหตุผลที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงรวมถึงกฎหมายที่มีการตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540
ส่วนคนที่ไม่เชื่อว่าจุฬาราชมนตรีคือผู้นำของประชาคมมุสลิม ก็ต้องถูกตั้งคำถามเช่นกัน มิใช่ตั้งคำถามเอาแต่ฝ่ายเดียว
กล่าวคือคนที่ไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับว่า จุฬาราชมนตรีคือผู้นำของประชาคมมุสลิม ก็สมควรที่จะต้องตอบว่า แล้วใครคือผู้นำของพวกท่าน?
ผู้นำที่พวกท่านอ้างมีหลักการข้อใดบ้างมารองรับในกรณีที่ว่ามีผู้นำสำหรับพวกท่านเป็นการเฉพาะ
และผู้นำที่ถูกกล่าวอ้างนั้นมีอำนาจในการลงโทษหรือไม่? หากมีผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
มีอำนาจในการตรากฎหมายหรือออกระเบียบ ข้อบังคับในเรื่องใดบ้าง และยกเลิกกฎหมายที่ขัดต่อหลักการของศาสนาได้โดยลำพังหรือไม่?
ที่มาของผู้นำที่พวกท่านอ้างมีที่มาอย่างไร? พวกท่านตั้งกันเองหรือว่าถูกเลือกจากอะฮฺลุลหัล วัลอักด์ และผู้นำคนนั้นเป็นผู้นำแบบ อิมามะฮฺ กุบรอ หรือแบบอิมามะฮฺ ศุฆรอ เป็นแบบอามมะฮฺหรือคอศเศาะฮฺและมีหลักฐานจากอัล–กุรอานและสุนนะฮฺ หรือไม่ที่ยืนยันและรับรองสถานภาพความเป็นผู้นำของคนๆ นั้น
และฝ่ายที่เชื่อว่า จุฬาราชมนตรีคือผู้นำของพวกเขาผิดด้วยหรือในเมื่อพวกเขาอาศัยหลักฐานจากอัล–กุรอาน คำอรรถาธิบายในตำราตัฟสีรฺของนักวิชาการที่ระบุถึง วะลียุลอัมร์ และอัล–หะดีษตลอดจนคำอธิบายของนักวิชาการมาสนับสนุนความเชื่อของพวกเขาและคำถามตลอดจนข้อกล่าวอ้างต่างๆนานาที่พวกท่านกล่าวและเขียนนั้น ท่านตอบอย่างกระจ่างชัดเจนตามความเห็นของท่านหรือไม่? หรือฝ่ายที่เชื่อว่าจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำสูงสุดของพวกเขาจำต้องตอบอยู่ฝ่ายเดียว ครั้นเมื่อตอบแล้วท่านจะเห็นด้วยและยอมรับหรือไม่?
แต่ถ้าหากพวกท่านไม่สามารถตอบคำถามที่ถูกย้อนศรไปยังพวกท่าน ว่าใครคือผู้นำของพวกท่านก็ถามต่อว่า พวกท่านไม่มีผู้นำใช่หรือไม่? หากตอบว่า ไม่ใช่ เรามีผู้นำของพวกเรา! คำถามข้างต้นพวกท่านก็ต้องตอบมา ไม่ใช่ฝ่ายเรา
แต่ถ้าพวกท่านตอบว่า ใช่ พวกเราไม่มีผู้นำ! ไม่ว่าจะเป็นจุฬาราชมนตรีหรือใครก็ตาม ก็ถามว่าพวกท่านจะปฏิบัติตามอัล-กุรอาน อายะฮฺที่ 59 จากสูเราะฮฺอัน-นิสาอฺอย่างไร? และพวกท่านจะปฏิบัติตามบรรดาอัล-หะดีษที่มีรายงานมาในบทที่ว่า باب وجوب طاعة ولاة الأمور في غير معصية وتحريم طاعتهم في المعصية “บทว่าด้วยความจำเป็นในการเชื่อฟัง บรรดาวะลียุลอัมร์ในสิ่งที่มิใช่การฝ่าฝืน (มะอฺศิยะฮฺ) และห้ามในการเชื่อฟังพวกเขาในกรณีฝ่าฝืนหลักการของศาสนาอย่างไร?” ซึ่งเอาเฉพาะที่มีระบุในหนังสือริยาฎุศ–ศอลิหีนของอิมามอัน–นะวาวียฺ (ร.ฮ.) ก็มีถึง 11 หะดีษ อย่างน้อยก็มีหะดีษจำนวน 11 หะดีษที่พวกท่านได้ทิ้งไปโดยไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ เพราะสำหรับพวกท่านไม่มีผู้นำในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่
ถ้าหากพวกท่านจะค้านว่า ใครว่าล่ะ! ว่าพวกเราไม่ปฏิบัติตามหะดีษดังกล่าวเราเชื่อและปฏิบัติตามทุกประการ ก็ถามว่าปฏิบัติกับใครเล่า? ก็ในเมื่อพวกท่านไม่มีผู้นำให้พวกท่านเชื่อฟังและปฏิบัติตาม และหะดีษเหล่านั้นก็ยังคงถูกบังคับใช้อยู่ ไม่ได้ถูกยกเลิก (มันสูค) แต่ถ้าพวกท่านตอบว่า ก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามเคาะลีฟะฮฺและบรรดานักปกครองในยุคสะลัฟศอลิหฺนั่นไง ก็ขอถามว่า เคาะลีฟะฮฺท่านใดเล่า? นักปกครองคนไหน? ในเมื่อพวกท่านมีชีวิตอยู่ในพ.ศ.นี้หรือฮิจญ์เราะฮฺศักราชนี้ และพวกเขาเหล่านั้นก็กลับไปสู่พระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮูว่าตะอาลา) หมดสิ้นแล้ว พวกท่านจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาอย่างไร? ในภาวะปัจจุบัน
แน่นอนคำสั่งในอัล–หะดีษหมายรวมถึงท่านเหล่านั้นที่เราจะต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟัง แต่นัยของอัล–หะดีษจำกัดอยู่เฉพาะพวกท่านเหล่านั้นเพียงเท่านั้นโดยไม่รวมถึงวะลียุลอัมร์ในยุคปัจจุบันด้วยกระนั้นหรือ?
คำถามเหล่านี้สำหรับคนที่อ้างว่าจุฬาราชมนตรีไม่ใช่ผู้นำ (ศาสนาในบ้านเรา) หรือคนที่บอกว่าเราไม่มีผู้นำต้องตอบ จะมีใครตอบข้อข้องใจเหล่านี้ของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ตอบแบบวิชาการเต็มรูปแบบ ไม่เอาคำตอบแบบกะโหลกกะลา
ในขณะที่ท่านอาจารย์มองว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าใครคือผู้นำ ข้าพเจ้ากลับมองว่า ปัญหาน่าจะอยู่ที่กรณีของฝ่ายซึ่งไม่มีผู้นำมากกว่า หรือยังสับสนอยู่ว่าใครคือผู้นำของตน
ข้อเขียนของอาจารย์ที่ว่า :
“หากบอกว่าจุฬาคือผู้นำ ก็ต้องถามว่าผู้นำตามที่นักวิชาการสังเคราะห์ไว้คือ อามมะฮฺและคอศเศาะฮฺหรือจะเรียกว่ากุบรอกับศุฆรอ จุฬาอยู่ในประเภทไหน”
ตามความเห็นของอาจารย์ อาจารย์ว่าจุฬาราชมนตรีน่าจะอยู่ในประเภทไหนล่ะครับ! หากอาจารย์แสดงทัศนะประกอบมาด้วย ประตูการศึกษาก็จะเปิดกว้างขึ้นเป็นแน่แท้ อาจารย์ถามอยู่ฝ่ายเดียว คนที่อ้างหลักให้ตามผู้นำ (ศาสนาในบ้านเรา) ซึ่งอาจารย์บอกว่า “ต้องตอบ” ก็ตอบกันเหนื่อยเลยสิครับ ความจริงถ้าท่านอาจารย์ตอบคำถามที่ตั้งขึ้นมาตามความเห็นของอาจารย์ ก็ย่อมถือว่ามีส่วนในการคลายความข้องใจได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่อาจารย์ตั้งคำถามกับอีกฝ่ายแล้วก็ทิ้งประเด็นเอาไว้โดยไม่แสดงความเห็นว่าจุฬาน่าจะอยู่ในประเภทไหนแล้วประตูทางวิชาการจะเปิดกว้างได้อย่างไร?
กระนั้นข้าพเจ้าก็ขอตอบประเด็นนี้ว่า
“หากเราบอกว่า จุฬาราชมนตรีคือผู้นำ ก็ไม่จำเป็นต้องถามว่า จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำประเภทใดระหว่างอามมะฮฺกับคอศเศาะฮฺ หรือระหว่างกุบรอกับศุฆรอ เพราะผู้นำ (วะลียุลอัมร์) ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม นักวิชาการได้ระบุไว้แล้วว่าเป็นบุคคลที่จะต้องถูกเชื่อฟัง ( يُطَاعُ ) ในกรณีที่ผู้นำนั้นได้อิจญ์ติฮาด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบการกิจ (วะลียุลอัมรฺ) อิมามนำละหมาด , อัล–หากิม (ผู้ปกครอง) , แม่ทัพ (ผู้นำในการศึก) และเจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมซะกาต
(ดูชัรฺหุล อะกีดะฮฺ อัฏ–เฏาะหาวียะฮฺ ; อิบนุ อบิลอิซฺ อัล–หะนะฟียฺ หน้า 376)
และไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักวิชาการทางศาสนาหรือเป็นมุฟตียฺ , กอฏียฺ , ผู้นำคณะเดินทาง , ผู้นำการประกอบพิธีฮัจญ์หรือแม้แต่ผู้นำครอบครัว บุคคลดังกล่าวซึ่งข้าพเจ้าได้ไล่เรียงมีตัวบทจากอัล–หะดีษและคำอธิบายของนักวิชาการระบุอย่างชัดเจนว่าจะต้องได้รับการฏออะฮฺเชื่อฟังและปฏิบัติตามในสิ่งที่ไม่ขัดด้วยหลักการของศาสนา และกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีอยู่ทั้งในประเภทอามมะฮฺและคอศเศาะฮฺ , กุบรอและศุฆรอ
นักวิชาการไม่ได้ระบุว่า ถ้าเป็นผู้นำประเภทคอศเศะฮฺหรือศุฆรอ ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง เพราะคำว่า วะลียุลอัมรฺ มิงกุม เป็นถ้อยคำที่มีนัยครอบคลุม (อาม) ไม่ได้เจาะจง (คอศ) เฉพาะประเภทหนึ่งประเภทใดจากบรรดาผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามหลักการของศาสนา (อัล–วิลายะฮฺ อัช–ชัรฺอียะฮฺ)
ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซฺ–ซุหัยลียฺอธิบายความหมายของ “อูลิลอัมร์ มิงกุม” ว่า : และสิ่งที่ปรากฏชัด (อัซ–ซอฮิรฺ) คือการมุ่งหมายถึงทั้งหมด ดังนั้นการฏออะฮฺเชื่อฟังต่อบรรดาผู้ปกครอง (อัล–หุกกาม) และบรรดาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ (อัล–วุลาต) ในด้านการเมือง (อัส–สิยาสะฮฺ) การเป็นผู้นำกองทัพ (กิยาดะฮฺ อัล–ญุยูช) และการบริหารประเทศ (อิดาเราะฮฺ อัล–บิลาด) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น (วาญิบ) และจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังบรรดานักวิชาการในอธิบายถึงบรรดาข้อชี้ขาดของบัญญัติศาสนา การสั่งสอนผู้คนให้รู้ถึงหลักศาสนา การสั่งใช้ให้ประกอบความดีและการห้ามปรามจากความชั่ว
(อัต–ตัฟสีรฺ อัล–มุนีรฺ , ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซ–ซุหัยลียฺ เล่มที่ 5 หน้า 126)
และท่านอิบนุ อัล–อะเราะบียฺ อัล–มาลิกียฺ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : “และที่ถูกต้อง ณ ข้าพเจ้าคือแท้จริงพวกเขา (อูลุลอัมร์) คือ บรรดาผู้นำ (อัล–อุมะรออฺ และบรรดานักวิชาการ (อัล–อุละมาอฺ) ทั้งหมด ส่วนบรรดาผู้นำนั้น เป็นเพราะว่าหลักเดิมของคำสั่งมาจากพวกเขา และการชี้ขาด (หรือปกครอง) กลับไปยังพวกเขา ส่วนบรรดานักวิชาการนั้น เป็นเพราะว่าการถามพวกเขาเป็นสิ่งจำเป็นโดยเจาะจงเหนือผู้คน และการตอบของพวกเขาเป็นสิ่งที่มีผลบังคับ (ลาซิม) และการปฏิบัติตามคำฟัตวา (คำตอบทางศาสนา) เป็นสิ่งจำเป็น”
(อะหฺกามุลกุรฺอาน ; 1/452)
อิมามฟัครุดดีน อัรฺ-รอซียฺ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : แท้จริงการปฏิบัติทั้งหลายของบรรดาผู้นำ (อัล-อุมะรออฺ) และบรรดาผู้มีอำนาจ (อัส-สะลาฏีน) ขึ้นอยู่กับคำฟัตวาของบรรดานักวิชาการ (อัล-อุละมาอฺ) และบรรดานักวิชาการในข้อเท็จจริง (หะกีเกาะฮฺ) คือบรรดาผู้นำของเหล่าผู้นำทั้งหลาย (อุมะรออุล อุมะรออฺ)
(ดูอัต-ตัฟสีรฺ อัล-กะบีรฺ ; ฟัครุดดีน อัร-รอซียฺ เล่มที่ 5 ภาคที่ 10 หน้า 117)
เป็นที่ทราบกันว่า บรรดานักวิชาการ (อุละมาอฺ) ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่ง อิมามะฮฺกุบรอ และมิใช่ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยรวม (วิลายะฮฺ อามมะฮฺ) ไม่มีอำนาจในการลงโทษผู้ใดตามกฎหมายชะรีอะฮฺ แต่เหตุไฉนนักวิชาการที่เป็นเจ้าของตำราดังกล่าวจึงระบุว่า บรรดานักวิชาการหรือนักปราชญ์คือส่วนหนึ่งจากอูลิลอัมร์ มิงกุม ที่จำต้องฏออะฮฺเชื่อฟัง เป็นไปได้หรือที่นักวิชาการผู้เป็นเจ้าของตำราดังกล่าวจะมีความรู้อย่างลวกๆ ไม่มีความถ่องแท้ ไม่ละเอียด และไม่ลุ่มลึก หรือไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่า ผู้นำในคำจำกัดความของอูลิลอัมริ มิงกุม คืออะไร?
และหากว่าบรรดาผู้รู้ในศาสนามิใช่ผู้นำทางศาสนา แล้วใครเล่าคือผู้นำทางศาสนา คำพูดที่ว่า “ผู้นำทางศาสนาไม่มีในอิสลาม” หรือ “ในศาสนาอิสลามไม่มีผู้นำทางศาสนา” คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่? และขัดกับข้อเขียนของท่านอาจารย์ที่ว่า “มีคนบังคับให้ตาม “จุฬา” ผมถามว่า จุฬาคือใคร? มีคนตอบว่า “คือผู้นำ” ผมถามว่า “ผู้นำอะไร” เพราะในศาสนาเรามีผู้นำหลายประเภท หลายระดับ…”
ประโยคที่ว่า “เพราะในศาสนาเรามีผู้นำหลายประเภท” เป็นการยอมรับว่ามีผู้นำในศาสนาของเราใช่หรือไม่? และผู้นำทางศาสนากับผู้นำในศาสนาต่างกันอย่างไร? อิมามประจำมัสญิดที่นำละหมาดญะมาอะฮฺและละหมาดวันศุกร์ ใช่ผู้นำทางศาสนาของปวงสัปปุรุษใช่หรือไม่? หรือเป็นผู้นำทางโลก หรือเป็นผู้นำนอกศาสนากระนั้นหรือ?
คำถามที่ว่า
“ในศาสนาอิสลามมีตำแหน่งผู้นำศาสนา (ที่ไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมือง) เหมือนคริสต์ ยิว พุทธ พราหมณ์ และศาสนาอื่นๆอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
คำตอบก็คือ
ยอมรับหรือไม่เล่าว่าอิมามประจำมัสญิดเป็นตำแหน่งผู้นำศาสนาในการประกอบศาสนกิจ ทั้งๆ ที่อิมามประจำมัสญิดก็ไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมือง ถ้ายอมรับ ก็แสดงว่ามี แล้วจะพูดทำไมว่าในศาสนาอิสลามไม่มีตำแหน่งผู้นำทางศาสนา ละหมาดญะมาอะฮฺที่ไม่มีอิมามเป็นผู้นำจะเรียกว่า ละหมาดญะมาอะฮฺได้หรือละหมาดญะมาอะฮฺเป็นเรื่องศาสนกิจในศาสนาใช่หรือไม่ แน่นอน คงตอบเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ใช่! แล้วใครเป็นผู้นำละหมาดญะมาอะฮฺ ก็ต้องตอบว่าอิมามอยู่ดี
และก็ตอบได้อีกด้วยว่า อิมามคือผู้นำในศาสนาอิสลาม ไม่ใช่ผู้นำในศาสนาอื่น และอิมามก็แตกต่างจากผู้นำในศาสนาอื่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโป๊ป สังฆราช แรบไบ และพราหมณ์ หากถามว่าไม่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? ก็ตอบได้ว่า
พระสันตะปาปา (โป๊ป) คือผู้เป็นประมุขคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก มีอำนาจปกครองคริตจักรและคณะสงฆ์ในคริสต์ศาสนา ประทับอยู่ ณ กรุงวาติงกัน เชื่อในหลักตรีเอกานุภาพ สืบทอดจากศิลาก้อนแรกที่พระเยซูคริสต์ทรงวางไว้เพื่อตั้งคริสตจักรคือ เซนต์ปิเตอร์ (เปโตร) สิ่งใดที่พระสันตะปาปาระบุว่าห้าม สิ่งนั้นก็เป็นที่ต้องห้ามในสวรรค์แห่งพระเป็นเจ้า สิ่งใดที่พระสันตะปาปาอนุญาต สิ่งนั้นก็เป็นที่อนุญาตในสวรรค์แห่งพระเป็นเจ้า
แรบไบก็คือนักบวชชาวยิว ถือในศาสนายูดายเชื่อในพระคัมภีร์เก่า (คัมภีร์โตร่าห์) มีหลากหลายนิกายเคร่งครัดในธรรมเนียมแบบยิว
สังฆราช เป็นตำแหน่งพระมหาเถระผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสังฆมณฑล เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ถือคัมภีร์พระไตรปิฎกและยึดมั่นในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และเป็นที่เคารพบูชาของพุทธบริษัทตลอจนมีสมณศักดิ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก
ส่วนพราหมณ์เป็นคนในวรรณที่ 1 แห่งสังคมฮินดู เป็นผู้ที่ถือเพศไว้ผม นุ่งขาวห่มขาวและเป็นผู้สาธยายมนตร์ ประกอบพิธีกรรมในการบูชาเทพเจ้าของฮินดู ที่กล่าวมาทั้งหมดแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากผู้นำศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะความเป็นพระสงฆ์หรือนักบวช ความเชื่อและวิถีปฏิบัติและที่สำคัญพึงระวังในการนำเอาผู้ศรัทธาไปเปรียบกับผู้ที่ไม่ศรัทธา เพราะไม่เหมือนกัน
أَفَمَن كَانَ مُؤْمِنًا كَمَن كَانَ فَاسِقًا ۚ لَّا يَسْتَوُونَ
“บุคคลที่เป็นผู้ศรัทธาเหมือนกับผู้ที่ฝ่าฝืนกระนั้นรึ? พวกเขาย่อมไม่เท่าเทียมกัน” (อัส–สะญะดะฮฺ : 18)
แต่ถ้าจะค้านว่า เราพูดถึงเรื่องความเหมือนของผู้นำศาสนาที่ไม่มีอำนาจปกครองบ้านเมือง เราไม่ได้พูดถึงเรื่องศาสนาหรือความเชื่อ! ทุกอย่างก็จะย้อนและวกกลับไปยังเรื่องที่วิเคราะห์มาแล้ว ก็ขอให้ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งว่าเราถกประเด็นนี้มาแล้วหรือยัง
ส่วนประเด็นการตรากฎหมาย ลักษณะกฎหมาย และผู้นำมุสลิมในรัฐที่ไม่ใช่อิสลาม ที่ท่านอาจารย์ระบุมาเป็นข้อๆ ในข้อเขียนนั้น ข้าพเจ้าขอละเอาไว้ก่อนเหมือนอย่างที่อาจารย์เขียนมานั่นแหล่ะ ว่าเป็นประเด็นที่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกและศึกษาต่อไป และเหตุที่ข้าพเจ้าต้องละเอาไว้ ก็มิใช่ว่าข้าพเจ้าไม่มีข้อคิดเห็น หรือไม่ปรารถนาจะซักค้านแต่เนื่องจากเกรงใจผู้อ่านบทความ
เพราะอาจารย์กรุณาตั้งคำถามเสียพะเรอเกวียน ที่ปริ้นต์เนื้อหามาจากเฟสบุ้คของอาจารย์ก็แค่ประมาณ 4 หน้ากระดาษ แต่บทความนี้ก็กินหน้ากระดาษไปมากโข ก็ขอให้อาจารย์ได้รับรู้ไว้เถิดว่า หนังสือ ตำรา หรือข้อเขียนใดๆ ที่มีผู้หยิบขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือวิเคราะห์ตรวจสอบ นั่นย่อมแสดงว่าหนังสือ ตำรา หรือข้อเขียนนั้นได้ถูกต่อยอดในเชิงวิชาการแล้ว และที่สำคัญแสดงว่ามีคนอ่านและสนใจ มิใช่ถูกมองข้ามและไม่มีใครสนใจ
และข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า การเขียนลงเฟสบุ้คเป็นการเขียนแบบปัจจุบันทันด่วน คิดอะไรได้ นึกอะไรออกก็เขียนโดยพลัน จนทำให้บ่อยครั้งที่หละหลวม จะอ้างตำราสักเล่มหรือดูหลักฐานให้ละเอียดแล้วค่อยนำมาเขียนตอบ ดูจะไม่ทันใจ เหตุนี้แหล่ะผมจึงไม่เขียนอะไรลงในเฟสบุ้คอย่างที่นิยมกระทำกัน เพราะเนื้อหาอาจจะคลาดเคลื่อนและผิดเพี้ยนได้ พอมีคนมาคอมเม้นท์ในเชิงไม่เห็นด้วย ก็ตอบแบบสวนทันควัน ต่อความยาวสาวความยืด แบบไม่รู้จบสิ้น เฟสบุ้คจึงกลายเป็น “เฟะบุ๊” ไปในที่สุด
ข้าพเจ้าจึงมีข้อเสนอต่อท่านอาจารย์ว่า หากอาจารย์จะกรุณาและเห็นแก่การเปิดประตูแห่งการเรียนรู้และศึกษา ได้โปรดเขียนเป็นบทความในเชิงวิชาการจะดีกว่าไหม จะเป็นบทความวิภาษหรือหักล้างข้อซักค้านของข้าพเจ้าก็ได้ จะได้เป็นการเติมเต็มและต่อยอดทางวิชาการจริงๆ
เนื้อหาในบทความนี้ ข้าพเจ้าได้พยายามหลีกเลี่ยงการเยาะเย้ย ถากถาง การประณาม การเหน็บแนม การกระแนะกระแหน และความกักขฬะหยาบคายอย่างที่อาจารย์เรียกร้องเท่าที่สามารถจะกระทำได้ อาจจะมีบางถ้อยคำ หรือบางประโยคที่อ่านแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเข้าข่ายสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย หากเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องขอมะอัฟไว้ด้วย ณ ที่นี้ เพราะนั่นเป็นความบกพร่องของมนุษย์เฉกเช่นข้าพเจ้า และความสมบูรณ์อันพิสุทธิ์เป็นสิทธิของเอกองค์อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
และข้าพเจ้ามิปรารถนาสิ่งใดในการกิจนี้ นอกเสียจากสิ่งที่อัล–กุรอานได้ระบุไว้ถึงสุนทรพจน์ของท่านนบีชุอัยบฺ (อะลัยฮิสลาม) ผู้ใดชื่อว่า นักกล่าวสุนทรพจน์ (เคาะฏีบ) ของเหล่านบีที่ว่า
وَمَا أُرِيدُ أَنْ أُخَالِفَكُمْ إِلَىٰ مَا أَنْهَاكُمْ عَنْهُ ۚ إِنْ أُرِيدُ إِلَّا الْإِصْلَاحَ مَا اسْتَطَعْتُ ۚ وَمَا تَوْفِيقِي إِلَّا بِاللَّـهِ ۚ عَلَيْهِ تَوَكَّلْتُ وَإِلَيْهِ أُنِيبُ
( سورة هود : ٨٨ )
وصلى الله وسلم على سيدنا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين
وآخر دعوانا أن الحمد لله رب العالمين
( أبوالريمي على أحمدأبوبكر محمدآمين الأزهرى الشافعى السيامي )
خويدم طلبة العلم الشريف
بمعهد المجلس الديني
بانكوك ، سوانلوانج
ข้อความ และรูปภาพ Capture จาก https://www.facebook.com/ishak.phongmanee