ล่อ  (เดิมเขียน ฬ่อ)  เป็นคำนามเรียกสัตว์พันทางที่เกิดจากการผสมระหว่างลากับม้า ใช้เป็นสัตว์ต่าง  (พจนานุกรมฯ 2525 หน้า 721)  คำว่า “พันทาง” ใช้เรียกไก่ที่พ่อเป็นอู  แม่เป็นแจ้ ว่า ไก่พันทาง ภายหลังเรียกเลยไปถึงสัตว์ที่พ่อแม่ต่างพันธุ์กันจนถึงสิ่งต่างชนิดบางอย่างที่แกมกัน ชาวอาหรับเรียก “ล่อ”ว่า “บัฆลุน” มีคำพหูพจน์ว่า “บิฆอลุน” และ “อับฆอลุน”  เพศเมียเรียกว่า “บัฆละฮฺ”  มีฉายาว่า อบุลอัชญะอฺ, อบุลฮะรูน, อบุซซ็อกร์, อบูกุฎออะฮฺ, อบูก่อมูซ และอิบนุนาฮิก เป็นต้น 

 

                    จากการที่ล่อเป็นสัตว์พันทางที่เกิดจากการผสมระหว่างม้ากับลา  มันจึงมีกระดูกสันหลังของลา  และมีกระดูกส่วนอื่นๆ เหมือนกระดูกของม้า  เสียงร้องของล่อ เรียกว่า “ชะฮีญะฮฺ” เป็นเสียงที่ผสมกันระหว่างเสียงร้องของม้าและเสียงร้องของลา (เกิดเป็นเสียงในเวอร์ชั่นใหม่นั่นเอง) 

 

                    ล่อเป็นสัตว์ที่อาภัพ เพราะ เป็นหมันไม่อาจมีลูกได้  แต่มีเรื่องแปลกระบุไว้ใน “ตารีค” ของอิบนุอัลบัตรีก ว่าในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 444  ล่อตัวเมียนางหนึ่งที่เมือง นาบุลิซ (ปาเลสไตน์) ได้ออกลูกเป็นล่อสีขาวบนโตรกหินสีดำ 

 

                    ล่อเป็นสัตว์ที่มีอารมณ์แปรปรวน สับสน และขัดแย้งกัน  คุ้มดีคุ้มร้ายว่างั้นเถอะ  ชาวอาหรับจดบันทึกเอาไว้ว่า  ถ้าหากพ่อของล่อเป็นลา ลูกล่อจะมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับม้า  แต่ถ้าพ่อของล่อเป็นม้า  ลูกล่อจะคล้ายกับลาเป็นอันมาก  อวัยวะส่วนต่างๆ ของล่อจะผสมผสานกันระหว่างม้ากับลา  นิสัยของมันก็แกมกัน  ไม่ฉลาดเหมือนม้า  แต่ก็ไม่โง่เหมือนลา 

 

                    กล่าวกันว่า  บุคคลแรกที่ผสมม้ากับลาจนเกิดล่อ คือ กอรูน  ล่อมีความอึดและอดทนเหมือนลาและมีพลังความกำยำเหมือนม้า  ล่อมีความจดจำเป็นเยี่ยมเกี่ยวกับเส้นทางที่มันเคยเดินผ่าน  เพียงแค่เคยเดินผ่านครั้งเดียว มันก็จำได้อย่างแม่นยำ 

                    เจ้าล่อเป็นสัตว์พาหนะยอดนิยมของเหล่ากษัตริย์ในการเดินทางไกล  พวกโจรสลัดในท้องทะเลทรายก็มักใช้ล่อขี่ไปทำธุระอยู่เนืองๆ เพราะมันสามารถแบกสัมภาระที่หนักอึ้งได้อย่างทรหดอดทน  ชาวอาหรับจึงกล่าวขานกันว่า เจ้าล่อคือพาหนะของผู้พิพากษา (กอฎี), ผู้นำผู้ทรงธรรม, ปราชญ์และบัณฑิต  ตลอดจนผู้ดีแปดสาแหรก  และชายฉกรรจ์  เจ้าล่อเป็นพาหนะที่เหมาะทั้งชายและหญิงในการใช้บริการ

 

                    ท่านศาสาดมุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มีล่อเป็นสัตว์พาหนะอยู่หลายตัว  อาทิเช่น “ดุ้ลดุ้ล” เป็นล่อเพศเมียสีด่าง (ขาวแซมดำ)  อัลมุเกากอซ  เจ้าเมืองอิยิปต์ได้มอบล่อตัวนี้เป็นบรรณาการแก่ท่าน  ล่ออีกตัวหนึ่งชื่อ “ฟิฎเฎาะฮฺ”  ฟัรวะฮฺ อัลญุซามี่ย์ได้มอบเป็นบรรณาการแก่ท่านศาสดาเช่นกัน  และมีรายงานระบุว่า  กษัตริย์อันนิญาซี่ย์ (เนกุสแห่งอบิสซิเนีย)  ก็เคยมอบล่อเพศเมียให้ท่านศาสดาเอาไว้ใช้ขี่เป็นพาหนะอีกเหมือนกัน 

 

                    แต่บรรดานักวิชาการหะดีษมีความเห็นพ้องกันว่า  ล่อของท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นเพศผู้ทั้งหมด  ตามที่ท่านฮาฟิซฺ กุตุบุดดีน ได้ระบุไว้  อย่างไรก็ตาม ท่านอิบนุ ซ่อลาฮฺและนักวิชาการท่านอื่นได้ยืนยันว่า ล่อที่ชื่อ ดุ้ลดุ้ล นั้นเป็นเพศเมีย  ท่านศาสดามักใช้ขี่เป็นพาหนะในการเดินทางไกล  ดุ้ลดุ้ล  มีอายุสืบต่อมาหลังจากท่านศาสดาสิ้นชีวิตจนกลายเป็นล่อชรา  ฟันกรามและขนของดุ้ลดุ้ลก็หลุดร่วงหมดและตายที่สุสานบะเกียะอฺ 

 

                    มีเรื่องราวอ้างถึงท่านอะลี อิบนุ อบีตอลิบ (ร.ฎ) ว่า  แต่เดิมล่อนั้นสามารถมีลูกหลานสืบสายพันธุ์ได้ แต่ว่าล่อเป็นสัตว์ที่ขนฟืนมาเพื่อใช้ก่อกองไฟเผาท่านศาสดาอิบรอฮีม (อะลัยฮิซซลาม) รวดเร็วกว่าสัตว์ชนิดอื่น  ท่านศาสดาอิบรอฮีม (อะลัยฮิซซลาม) จึงขอดุอาอฺสาปแช่งมัน  ล่อจึงขาดสายพันธุ์นับแต่บัดนั้นมา  เรื่องนี้ท่านอิบนุ อะซากิร บันทึกไว้ใน ตารีคดิมัชก์

 

                    ในคัมภีร์ อัลกุรอาน  กล่าวถึงล่อไว้เพียงหนึ่งแห่งเท่านั้น คือในพระบัญญัติที่ 8 บทอันนะฮฺลุ้ โดยใช้คำพหูพจน์ว่า อัลบิฆอลุ้ (اَلْبِغَالُ) มีความหมายว่า “และ (พระองค์ได้ทรงสร้าง) ม้า ล่อ และลาเพื่อสูเจ้าทั้งหลายจะได้ขี่มัน (เป็นสัตว์พาหนะ) และเครื่องประดับ” แสดงว่า ล่อ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์พาหนะที่มนุษย์มีไว้ใช้สอยและประดับบารมีของตนเหมือนกับม้าและลา