27. การอ้าง “อายะฮฺ อัล-ญิฮาด” ของอัต-ตีญานียฺ (ชีอะฮ์)

ในหนังสือษุมมะฮฺตะดัยตุ้ (ภาคภาษาอาหรับ) หน้า 115 อัต-ตีญานียฺอ้างอายะฮฺที่ 38 , 39 จากสูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺโดยเรียกว่า “อายะฮฺอัล-ญิฮาด” ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสว่า :

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا مَا لَكُمْ إِذَا قِيلَ لَكُمُ انفِرُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ اثَّاقَلْتُمْ إِلَى الْأَرْضِ  أَرَضِيتُم بِالْحَيَاةِ الدُّنْيَا مِنَ الْآخِرَةِ  فَمَا مَتَاعُ الْحَيَاةِ الدُّنْيَا فِي الْآخِرَةِ إِلَّا قَلِيلٌ

إِلَّا تَنفِرُوا يُعَذِّبْكُمْ عَذَابًا أَلِيمًا وَيَسْتَبْدِلْ قَوْمًا غَيْرَكُمْ وَلَا تَضُرُّوهُ شَيْئًا  وَاللَّهُ عَلَىٰ كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ

ความว่า “โอ้ บรรดาศรัทธาชน มีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ เมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงระดมพลออกศึกในวิถีของอัลลอฮฺเถิด พวกเจ้าก็ทำตัวหนักไปยังแผ่นดิน (ล่าช้า) พวกเจ้าพึงพอใจต้อชีวิตในโลกนี้แทนอาคิเราะฮฺกระนั้นหรือ อันความสุขในชีวิตแห่งโลกนี้เทียบไม่ได้กับอาคิเราะฮฺนอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น * หากพวกเจ้าไม่ระดมพลออกศึกแล้วไซร้ พระองค์จะทรงลงทัณฑ์พวกเจ้าอย่างเจ็บแสบ และจงทรงเปลี่ยนกลุ่มชนอื่นจากพวกเจ้ามาแทน และพวกเจ้าย่อมไม่อาจประทุษร้ายต่อพระองค์ได้เลยแม้แต่น้อย และอัลลอฮฺทรงมหิทธานุภาพเหนือทุก
(อัต-เตาบะฮฺ : 38-39)

 

อัต-ตีญานียฺเขียนว่า : “อายะฮฺนี้ชัดเจนอีกเช่นกันในกรณีที่ว่า บรรดาเศาะหาบะฮฺได้ล่าช้าอิดออดจากการญิฮาด และเลือกที่จะอิงอยู่กับชีวิตในโลกนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้ดีว่าชีวิตในโลกนี้เป็นแค่ความสุขอันเล็กน้อย จนกระทั่งพวกเขาจำต้องได้รับการตำหนิของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และการคาดโทษของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาด้วยการลงทัณฑ์อันเจ็บแสบ และเปลี่ยนพวกเขาด้วยชนกลุ่มอื่นที่เป็นผู้ศรัทธาที่มีความสัจจริง” (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ : หน้า 115)

 

วิภาษ

อัต-ตีญานียฺอ้าง 2 อายะฮฺจากสูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺในฟัสอะลู อะฮฺลัซซิกรฺ หน้า 121 (ฉบับภาษาอาหรับ) เรื่องอัล-กุรอานเปิดเผยความจริงของเศาะหาบะฮฺบางคน (จงถามผู้รู้ : หน้า 171 ฉบับแปลภาษาไทย) อัต-ตีญานียฺไม่อ้างถึงมูลเหตุแห่งการประทานอายะฮฺทั้งสองจากตำราอ้างอิงของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งระบุตรงกัน กล่าวคือ ทั้ง 2 อายะฮฺนี้ประทานลงมาในกรณีปลุกเร้าให้เหล่าเศาะหาบะฮฺทำสงครามตะบู๊กกับพวกโรมัน ซึ่งอยู่ห่างจากนครมะดีนะฮฺ 610 กม. และเป็นสงครามหลังการพิชิตนครมักกะฮฺและภายหลังการที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กลับจากอัฏ-ฏออิฟและหุนัยนฺ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนที่อินทผลัมและผลไม้กำลังออกผลผลิต

 

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้เรียกร้องให้มีการระดมพลเพื่อไปศึกกับโรมันที่ตะบู๊ก ซึ่งมีระยะทางไกลจากนครมะดีนะฮฺและขณะนั้นอากาศร้อนจัด เหล่าเศาะหาบะฮฺจึงเกิดความลำบากและแสดงความอืดอาดล่าช้าซึ่งเป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์ปุถุชน พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงทรงประทานอายะฮฺดังกล่าวลงมาเพื่อปลุกเร้าพวกเขาให้ทำการญิฮาดและคาดโทษในความอืดอาดล่าช้านั้น (ตัฟสีรฺ อัฏ-เฏาะบะรียฺ : 6/372 – 373 , อัล-กุรฏุบียฺ : 8/90 , อัล-บะเฆาะวียฺ : 4/48 , ฟัตหุลเกาะดีรฺ : 2/525 , อัด-ดุรฺรุลมันษูร : 4/190 และมัจญ์มะอุลบะยาน : อัฏ-ฏอบริสียฺ : 3/62)

 

และอัฏ-ฏอบริสียฺ นักตัฟสีรฺชาวชีอะฮฺระบุว่า : “อัล-ญุบบาอียฺกล่าวว่า : ความอืดอาดล่าช้านี้เป็นกรณีเฉพาะของคนกลุ่มหนึ่งจากผู้ศรัทธา เพราะผู้ศรัทธาทั้งหมดไม่ได้อืดอาดล่าช้าจากการญิฮาด” (มัจญ์มะอุลบะยาน : 3/62)

 

ดังนั้น จึงไม่เป็นที่สงสัยแต่อย่างใดว่าการอืดอาดล่าช้านี้ไม่ได้เกิดจากเหล่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมด อันที่จริงเป็นเพียงกรณีของเศาะหาบะฮฺบางคนเท่านั้น แต่สำนวนของอายะฮฺอ้างถึงคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันในด้านวาทะศิลป์ของอัล-กุรอาน (ฟัตหุลเกาะดีรฺ : 2/526) และการที่เศาะหาบะฮฺบางส่วนมีความล่าช้าจากการระดมพลเพื่อออกศึกญิฮาดก็ไม่ได้เกิดจากการปฏิเสธคำสั่งให้ออกศึกแต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าผลไม้และอินทผลัมกำลังออกดอกออกผลทำให้เกิดความพะวงอยู่กับสิ่งนั้น และหนทางก็ยาวไกลลำบากและทุรกันดาร กอปรกับอากาศในเวลานั้นร้อนจัด อัล-กุรอานจึงประทานลงมาตำหนิท่าทีดังกล่าวและปลุกเร้าให้พวกเขาออกสู่สงคราม

 

การมีพฤติกรรมของเศาะหาบะฮฺบางส่วนจึงเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ปุถุชนที่เกิดขึ้นได้ในภาวะเช่นนั้น เหตุนี้อัล-กุรอานจึงประทานลงมาเพื่อขัดเกลาและชี้นำพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเป็นประชาคมที่ดีที่สุดนั่นเอง เรื่องราวเป็นเช่นนี้และบรรดาเศาะหาบะฮฺจำนวน 30,000 คนก็เคลื่อนทัพสู่ตะบู๊กในที่สุด โดยที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) มิได้ทรงลงทัณฑ์พวกเขาตามที่มีการคาดโทษในอายะฮฺนั้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามอัล-กุรอานอายะฮฺที่ 117 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺได้ประทานลงมาเพื่อแจ้งว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรับการเตาบะฮฺของเหล่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมทัพไปกับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ซึ่งระบุว่า :

لَّقَد تَّابَ اللَّهُ عَلَى النَّبِيِّ وَالْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنصَارِ الَّذِينَ اتَّبَعُوهُ فِي سَاعَةِ الْعُسْرَةِ مِن بَعْدِ مَا كَادَ يَزِيغُ قُلُوبُ فَرِيقٍ مِّنْهُمْ ثُمَّ تَابَ عَلَيْهِمْ  إِنَّهُ بِهِمْ رَءُوفٌ رَّحِيمٌ

ความว่า “แน่แท้ อัลลอฮฺทรงรับการเตาบะฮฺแก่นบี บรรดามุฮาญิรีน และบรรดาอันศอรฺแล้ว ซึ่งพวกเขาได้ติดตามนบีไปในช่วงเวลาแห่งความลำบากนั้น ภายหลังการที่หัวใจของกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาเกือบจะเบี่ยงเบนออกไป แล้วต่อมาพระองค์ก็ทรงรับการเตาบะฮฺของพวกเขา แท้จริงพระองค์ทรงอ่อนโยน อีกทั้งทรงเมตตายิ่งต่อพวกเขา”
(อัต-เตาบะฮฺ : 117)

 

ท่านอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) กล่าวว่า “ผู้ใดที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรับการเตาบะฮฺของผู้นั้น พระองค์จะไม่ทรงลงทัณฑ์ผู้นั้นตลอดกาล” (ตัฟสีรฺ อัล-บะเฆาะวียฺ : 4/105)

 

แน่นอนเราไม่ปฏิเสธว่า การที่เศาะหาบะฮฺบางส่วนกระทำตนล่าช้าต่อการเรียกระดมพลเพื่อออกศึกเป็นความผิดและสมควรถูกตำหนิ เพราะเศาะหาบะฮฺเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ผิดพลาดได้เป็นธรรมดา แต่เมื่อมีการสำนึกผิดและมีการประกาศรับการสำนึกผิดและอภัยโทษจากพระองค์แล้วก็ย่อมถือว่าความผิดนั้นถูกยกโทษและพ้นจากความผิดนั้นแล้ว เหตุไฉนอัต-ตีญานียฺจึงยังติดใจในกรณีของความผิดที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงอภัยให้แล้วแก่เหล่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมไปในสงครามตะบู๊กอยู่อีก และการเตาบะฮฺของเหล่าเศาะหาบะฮฺมีอัล-กุรอานรับรองว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรับการเตาบะฮฺของพวกเขาจริงๆ และถูกกล่าวย้ำถึง 2 ครั้งในอายะฮฺที่ 117 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺนี้ อีกทั้งพระองค์ยังทรงระบุในตอนท้ายว่าพระองค์ทรงการุณ อ่อนโยนและทรงเมตตาต่อพวกเขา

 

ในขณะที่อัต-ตีญานียฺเขียนยืนกรานอย่างไม่ลดละที่จะถือโทษและตามจิกบรรดาเศาะหาบะฮฺด้วยการประณามและกล่าวหาทั้งๆ ที่เหล่าเศาะหาบะฮฺพ้นจากความผิดในการถูกตำหนินั้นไปแล้ว การเตาบะฮฺของอัต-ตีญานียฺและการอ้างว่าตนได้รับทางนำสู่แนวทางของพวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺต่างหากเล่าที่ไม่มีคำประกาศรับรองใดๆ จากคัมภีร์อัล-กุรอาน อัต-ตีญานียฺไม่มีหลักประกันใดๆ ในเรื่องนี้ แต่บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นมีอัล-กุรอานรับรองว่าพวกเขาได้รับการอภัยโทษจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เป็นที่แน่นอนแล้ว

 

สมรภูมิตะบู๊กถือเป็นสมรภูมิสุดท้ายที่บรรดาเศาะหาบะฮฺได้ร่วมออกศึกพร้อมกับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และอายะฮฺในสูเราะฮฺอัต-เตาะบะฮฺก็ประกาศถึงการอภัยโทษให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺซึ่งร่วมสมรภูมิตะบู๊ก เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะตกศาสนาหรือละทิ้งการญิฮาดและมุ่งสู่ความสุขอันเล็กน้อยในโลกนี้ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)

 

อัต-ตีญานียฺอาจจะอ้างว่า การรับการเตาบะฮฺเป็นเรื่องเฉพาะในกรณีสมรภูมิตะบู๊กคือผูกพันอยู่เฉพาะช่วงเวลาที่เกิดความยากลำบากคับขันนั้นเพราะอัล-กุรอานระบุว่า (…فِي سَاعَةِ الْعُسْرَةِ) ซึ่งไม่รวมเวลาหลังจากนั้น ก็ขอถามว่าแล้วประโยคต่อมาที่ว่า ( ثُمَّ تَابَ عَلَيْهِمْ  إِنَّهُ بِهِمْ رَءُوفٌ رَّحِيمٌ ) อัต-ตีญานียฺจะเลี่ยงอย่างไร เพราะประโยคนี้ไม่ได้ผูกพันอยู่กับช่วงเวลาในสมรภูมิตะบู๊กเท่านั้น แต่เป็นสำนวนที่มีนัยกว้างและครอบคลุมว่า พระองค์ทรงรับการเตาบะฮฺของพวกเขาเพราะพระองค์ทรงการุณ อ่อนโยนและเมตตาต่อพวกเขาไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังการสิ้นชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) หากเหล่าเศาะหาบะฮฺตกศาสนาจริงดังอัต-ตีญานียฺกล่าวอ้าง พระองค์จะทรงเมตตาต่อพวกเขาได้อย่างไรกัน

 

การล่าช้าของเศาะหาบะฮฺเป็นเรื่องของเศาะหาบะฮฺส่วนหนึ่ง มิใช่ทั้งหมด และการออกสงครามสู่ตะบู๊กก็เกิดขึ้นจริงพร้อมกับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) หลังจากความล่าช้านั้น และที่สุดพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ประกาศอภัยโทษแก่หล่าเศาะหาบะฮฺที่ล่าช้าในตอนแรก ส่วนเศาะหาบะฮฺอีก 3 ท่านคือ กะอฺบ์ อิบนุ มาลิก , ฮิลาล อิบนุ อุมัยยะฮฺ และมุรอเราะฮฺ อิบนุ อัร-เราะบีอฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม) ทั้ง 3 ท่านไม่ได้ร่วมออกศึกในครั้งสมรภูมิตะบู๊กจริงๆ และน่าจะถูกตำหนิมากยิ่งกว่ากลุ่มแรกเสียอีก

 

แต่แล้วพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ทรงรับการเตาบะฮฺของเศาะหาบะฮฺทั้ง 3 ท่าน ดังปรากฏในอายะฮฺที่ 118 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ นี่เป็นความผิดจริงๆ แล้วพวกเขาถูกท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และเหล่าเศาะหาบะฮฺแสดงท่าทีเหินห่างและไม่พูดคุยกับพวกเขาจนกระทั่งแผ่นดินที่กว้างใหญ่กลายเป็นที่คับแคบสำหรับพวกเขา กระนั้นพระองค์ก็ทรงรับการเตาบะฮฺของบุคคลทั้งสาม การไม่ได้ร่วมออกศึกของบุคคลทั้งสามเป็นความผิดจริง แต่ก็ได้รับการอภัยโทษ แล้วเศาะหาบะฮฺที่ร่วมสมรภูมิตะบู๊กไปกับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เล่า! พวกเขาสมควรได้รับการอภัยโทษยิ่งกว่าและเรื่องจริงก็คือบรรดาเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นรวมถึงเศาะหาบะฮฺทั้ง 3 ท่านได้พ้นความผิดนั้นแล้วอย่างแน่นอน แล้วอัต-ตีญานียฺจะติดใจอะไรอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้? ในเมื่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงตัดสินแล้ว!

 

อายะฮฺอัล-กุรอานที่อัต-ตีญานียฺนำมาอ้างโจมตีเหล่าเศาะหาบะฮฺและเรียกชื่ออายะฮฺว่า “อายะฮฺอัล-ญิฮาด” คืออายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ เริ่มต้นด้วยการเรียกเหล่าเศาะหาบะฮฺว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا ) เป็นการสั่งสอนและชี้นำเหล่าเศาะหาบะฮฺซึ่งในอัล-กุรอานระบุไว้ถึง 89 ที่ด้วยกัน ท่านอิบนุ มัสอูด (ร.ฎ.) กล่าวว่า : เมื่อท่านได้ยินพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา” ท่านจงฟังอายะฮฺนั้นด้วยความตระหนัก เพราะนั่นคือความดีที่พระองค์ทรงสั่งใช้และเป็นความชั่วที่พระองค์ทรงสั่งห้าม” (อัล-อิตกอน ฟี อุลูมิลกุรอาน : อัส-สุยูฏียฺ 2/92 , 93)

 

ดังนั้นสำนวนอัล-กุรอานจึงเป็นการสอนบรรดาเศาะหาบะฮฺให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นความดี และสิ่งใดเป็นความชั่ว สิ่งใดควรปฏิบัติ และสิ่งใดจำต้องหลีกห่าง นี่คือคำสอนของอัล-กุรอานที่ขัดเกลาและปรับเปลี่ยนเหล่าเศาะหาบะฮฺจากความบกพร่องสู่ความสมบูรณ์ในพฤติกรรมของพวกเขา เพราะเศาะหาบะฮฺมิใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบนับแต่กำเนิด ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์และปลอดจากความผิดพลาด แต่ความเชื่อของพวกอัร-ริฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดาอิมามมะอฺศูมของพวกเขา ทำให้พวกเขาเชื่อว่าความผิดหรือความบกพร่องใดๆ ที่เกิดจากเศาะหาบะฮฺเป็นข้อตำหนิสำหรับเศาะหาบะฮฺไปเสียทุกเรื่อง

 

เมื่อเราได้ค้นตัฟสีรของนักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺเกี่ยวกับอายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺอัต-เตาะบะฮฺ เราก็ไม่พบว่านักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺยึดเอาอายะฮฺนี้เป็นข้อประณามเหล่าเศาะหาบะฮฺอย่างที่อัต-ตีญานียฺกล่าวอ้าง แต่บรรดานักปราชญ์ของฝ่ายชีอะฮฺได้อธิบายอายะฮฺนี้ในทำนองเดียวกับที่นักปราชญ์ฝ่ายสุนนะฮฺอธิบาย (ดู มัจญ์มะอฺ อัล-บะยาน ; อัฏ-ฏอบริสียฺ 3/62 , ตัฟสีรอัศ-ศอฟียฺ ;อัล-ฟัยฎ์ อัล-กาชานียฺ 2/342 – 342 เป็นต้น) โดยเฉพาะคำอธิบายของอัล-กาชานียฺถึงสาเหตุของสมรภูมิตะบู๊ก มีคำระบุชัดเจนในการแยกเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ออกจากบรรดาพวกกลับกลอก (มุนาฟิก) ซึ่งนั่นบ่งชี้ว่า ทฤษฎีการแบ่งประเภทเศาะหาบะฮฺของอัต-ตีญานียฺเป็นเรื่องที่อัต-ตีญานียฺตั้งขึ้นเอง นอกเหนือจากกรณีที่อัต-ตีญานียฺไม่ได้อ้างอิงคำอธิบายจากตำราวิชาการของทั้งฝ่ายในเรื่องนี้ แต่เขียนตามความเข้าใจที่มีอคติต่อเศาะหาบะฮฺเป็นที่ตั้ง

 

หากเราจะอธิบายอายะฮฺอัล-กุรอานบางอายะฮฺตามวิธีการของอัต-ตีญานียฺบ้าง เรื่องราวจะเป็นเช่นใดเล่า! เช่น อายะฮฺที่ 67 สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ ซึ่งมีใจความว่า “โอ้ ผู้เป็น ศาสนทูต ท่านจงเผยแผ่สิ่งที่ถูกประทานลงมาจากพระผู้อภิบาลของท่าน และหากว่าท่านยังไม่กระทำ ท่านก็ย่อมมิได้เผยแผ่สาส์นของพระองค์…”

 

หากเราอธิบายอายะฮฺนี้ตามวิธีการของอัต-ตีญานียฺ คำอธิบายอายะฮฺนี้ก็จะเป็นไปในทำนองที่ว่า พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงคาดโทษท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และใช้ให้ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ทำการเผยแผ่สาส์นของพระองค์ หากว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ไม่เผยแผ่สิ่งที่ถูกประทานลงมาก็เท่ากับว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็ไม่ต่างจากบุคคลที่ไม่ทำการเผยแผ่ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อภารกิจหน้าที่

 

แล้วก็สรุปอย่างที่อัต-ตีญานียฺมักจะกระทำในข้อเขียนของตนว่าอายะฮฺนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) บกพร่องต่อหน้าที่ในการเผยแผ่และการประกาศสาส์น พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงประทานอายะฮฺนี้ลงมาตำหนิและเปิดโปงความบกพร่องของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) นี่คือแนวทางของอัต-ตีญานียฺที่มักจะนำมาใช้ในการอธิบายอายะฮฺอัล-กุรอานตามทฤษฎีของตนซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์และการสรุปเช่นนั้น แน่นอนผลลัพธ์และข้อสรุปในทำนองนี้คงไม่มีมุสลิมคนใดไม่ว่าจะเป็นสุนนะฮฺหรือชีอะฮฺที่จะยอมรับหรือเห็นด้วย เพราะการอธิบายในทำนองนี้เป็นการใช้ความคิดและการวิเคราะหฺที่เกิดจากอารมณ์และไม่มีหลักวิชาการในการรองรับ

 

เป็นเรื่องน่าแปลกที่อัต-ตีญานียฺเขียนว่า “….และจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจอัล-กุรอานที่จะต้องหวนกลับไปยังบรรดาผู้ที่มีความมั่นคงในความรู้ตามที่อัล-กุรอานใช้สำนวนบ่งไว้และหวนกลับไปยังครอบครัวของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ตามสำนวนการอธิบายของท่านนบี…” (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 180) แล้วเหตุไฉน อัต-ตีญานียฺจึงไม่ได้อ้างอิงคำอธิบายอายะฮฺอัล-กุรอานจากตำราทางวิชาการเล่มใดเลยในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นตำราฝ่ายชีอะฮฺเองก็ตามหรือ อ้างถึงคำอธิบายของอะฮฺลุลบัยตฺ แต่สิ่งที่ปรากฏก็คืออัต-ตีญานียฺอธิบายอายะฮฺอัล-กุรอานตามอารมณ์และทัศนคติของตนโดยไม่มีการอ้างหรือหวนกลับไปยังสิ่งที่ตนเขียนเอาไว้ว่าเป็นมาตรฐานในการวิเคราะหฺของตนแล้วอัต-ตีญานียฺก็ละทิ้งมาตรฐานนั้นเสียเอง!

 

อัต-ตีญานียฺไม่ได้สังเกตว่าอายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺเริ่มต้นประโยคว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” ( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا ) ซึ่งตำราของฝ่ายชีอะฮฺอ้างว่า บรรดาเศาะหาบะฮฺส่วนมากและชนรุ่นอัต-ตาบิอีนตลอดจนบรรดานักอรรถาธิบายอัล-กุรอานมีมติเห็นพ้อง (อิจญ์มาอฺ) ว่า อายะฮฺ “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” (يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا ) มิได้ประทานลงมาในอัล-กุรอานนอกเสียจากท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) คือผู้นำ (อะมีร) ผู้ทรงเกียรติ (ชะรีฟ) ผู้เป็นนาย (สัยยิด) และเป็นหัวใจสำคัญของอายะฮฺนั้น มิหนำซ้ำอายะฮฺ “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” ที่ถูกกล่าวซ้ำในอัล-กุรอานมากกว่า 90 ครั้ง หมายถึง ท่านอะลี (ร.ฎ.) โดยตรง (ดู อะลี (อล.) ฟิลกิตาบ วัส-สุนนะฮฺ ; อัล-หัจญี หุสัยนฺ อัช-ชากิรียฺ อัน-นะญะฟียฺ : 1/31 – 34 สำนักพิมพ์ดารุลมุอัร-ริค อัล-อะเราะบียฺ (เบรุต) 1991)

 

เมื่ออายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺเริ่มต้นประโยคที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” ก็ย่อมแสดงว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) ถูกมุ่งหมายด้วยตามมติเห็นพ้องดังกล่าว แล้วอัต-ตีญานียฺจะอธิบายอายะฮฺนี้ซึ่งหมายถึงท่านอะลี (ร.ฎ.) อย่างไร? อัต-ตีญานียฺอาจจะอ้างว่า ท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้รับการยกเว้นจึงไม่เข้าอยู่ในนัยของอายะฮฺนี้ ซึ่งกรณีนี้ถูกต้อง แต่ก็ไปค้านกับสิ่งที่ตำราของฝ่ายชีอะฮฺระบุเอาไว้ว่าเป็นมติเห็นพ้องอยู่ดี เพราะหากท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ถูกยกเว้น ก็แสดงว่านัยของอายะฮฺ “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” ไม่รวมท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ด้วย การอ้างว่าอายะฮฺ “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา” หมายถึงท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอยู่ดี!

 

อัต-ตีญานียฺเขียนว่า “แน่แท้คำคาดโทษว่าจะเปลี่ยนกลุ่มชนอื่นที่มิใช่พวกเขา (เศาะหาบะฮฺ) มีมาในอีกหลายอายะฮฺอันเป็นสิ่งที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำตัวหนักอึ้ง (ล่าช้า) จากการญิฮาดในหลายครั้งด้วยกัน แน่นอนมีมาในดำรัสที่ “และถ้าหากพวกเจ้าผินออก พระองค์จะทรงเปลี่ยนกลุ่มชนอื่นจากพวกเจ้ามาแทน แล้วพวกเขาก็จะไม่เป็นเหมือนพวกเจ้า” (มุฮัมมัด : 38) (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ : 115)

 

วิภาษ

อัต-ตีญานียฺอ้างอายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺมุฮัมมัดด้วยการตัดตอนบางส่วนของอายะฮฺเพราะมุ่งเอาการคาดโทษด้วยการเปลี่ยนกลุ่มชนอื่นซึ่งมีสำนวนคล้ายกับอายะฮฺในสูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ แต่ในข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน กล่าวคืออายะฮฺ 38,39 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺเป็นเรื่องของการญิฮาดซึ่งอัต-ตีญานียฺก็ตั้งชื่อเอาเองว่า “อายะฮฺอัล-ญิฮาด” แต่อายะฮฺ 38 สูเราะฮฺมุฮัมมัดไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการญิฮาดแต่กล่าวถึงเรื่องการบริจาคในวิถีทางอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ซึ่งอายะฮฺเต็มคือ :

هَا أَنتُمْ هَٰؤُلَاءِ تُدْعَوْنَ لِتُنفِقُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ فَمِنكُم مَّن يَبْخَلُ  وَمَن يَبْخَلْ فَإِنَّمَا يَبْخَلُ عَن نَّفْسِهِ  وَاللَّهُ الْغَنِيُّ وَأَنتُمُ الْفُقَرَاءُ  وَإِن تَتَوَلَّوْا يَسْتَبْدِلْ قَوْمًا غَيْرَكُمْ ثُمَّ لَا يَكُونُوا أَمْثَالَكُم

ความว่า : นี่แหนะ! พวกท่านนั้นคือบรรดาเหล่าบุคคลที่พวกท่านถูกเรียกร้องเพื่อให้พวกท่านได้บริจาคในวิถีของอัลลอฮฺ แล้วส่วนหนึ่งจากพวกท่านก็คือผู้ที่ตระหนี่ และผู้ใดตระหนี่อันที่จริงผู้นั้นก็ตระหนี่แก่ตัวของผู้นั้นเอง และอัลลอฮฺทรงมั่งมี และพวกท่านนั้นเป็นบรรดาผู้ขัดสน และหากพวกท่านผินหลัง (ไม่บริจาคทาน) อัลลอฮฺจะทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นจากพวกแทนมาแทน แล้วพวกเขาก็จะไม่เป็นเหมือนอย่างพวกท่าน”
(มุฮัมมัด : 38)

 

บรรดานักอรรถาธิบายกล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า : พวกท่านได้ถูกเรียกร้องให้บริจาคในวิถีของอัลลอฮฺ และจ่ายสิ่งที่ถูกบัญญัติเหนือพวกท่าน(ซะกาต) แล้วบางส่วนของพวกท่านก็คือผู้ที่ตระหนี่ต่อการบริจาคส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ถูกบัญญัติเหนือผู้นั้น เช่น ซะกาต เป็นต้น แท้จริงผู้ที่ตระหนี่นั้น อันที่จริงผู้นั้นตระหนี่ต่อตัวเองและทำให้ตัวเองบกพร่องจากผลบุญและแท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมั่งมี ในขณะที่สิ่งอื่นนอกจากพระองค์ล้วนขัดสนและจำต้องพึ่งพาอาศัยพระองค์ และถ้าหากพวกท่านผินออกจากการภักดีต่อพระองค์ตลอดจนไม่ปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนพวกท่านด้วยกลุ่มชนอื่นที่ไม่เหมือนพวกท่าน กลุ่มชนนั้นจะเชื่อฟังและภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) มากกว่าพวกท่าน และพวกเขาจะไม่ตระหนี่ในการบริจาคในวิถีทางของพระองค์ (ดู ตัฟสีรฺ อิบนิกะษีร 4/196 , อัล-บะเฆาะวียฺ 7/291 , ฟัตหุลเกาะดีรฺ 5/61)

 

นี่คือการอรรถาธิบายอายะฮฺ 38 สูเราะฮฺมุฮัมมัดในตำราตัฟสีรฺของฝ่ายสุนนะฮฺ ในอายะฮฺนี้ไม่ได้ระบุถึงเรื่องการญิฮาดแต่อย่างใด แล้วอัต-ตีญานียฺอ้างได้อย่างไรว่าอายะฮฺนี้เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า บรรดาเศาะหาบะฮฺล่าช้าในการญิฮาดหลายครั้ง และในตำราตัฟสีรฺของฝ่ายชีอะฮฺ เช่น มัจญ์มะอฺ อัล-บะยานของ อัฏ-ฏอบริสียฺ 6/48 , อัต-ตัฟสีรฺ อัล-มุบีน ของมุฮัมมัด มุฆนียฺ หน้า 677 – 678 เป็นต้น ก็มิได้อธิบายอายะฮฺนี้ในเรื่องการญิฮาด แต่เป็นการอธิบายในทำนองเดียวกับตัฟสีรฺของฝ่ายสุนนะฮฺ ซึ่งอัต-ตีญานียฺกำหนดมาตรฐานในการอ้างอิงของตนว่าจะอ้างอิงเฉพาะสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน แต่อัต-ตีญานียฺก็ละทิ้งมาตรฐานดังกล่าว ณ ตรงนี้อีกครั้ง เรื่องจึงกลายเป็นว่าเศาะหาบะฮฺไม่ได้ล่าช้าในการระดมพลออกศึกญิฮาดหลายครั้ง แต่อัต-ตีญานียฺต่างหากที่ไม่รักษามาตรฐานที่ตนกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า!

 

ปราชญ์ของฝ่ายชีอะฮฺเช่น อัฏ-ฏอบรีสียฺและมุอัมมัด มุฆนียะฮฺ อธิบายอายะฮฺนี้พ้องกับฝ่ายสุนนะฮฺ ซึ่งค้านกับคำอธิบายของอัต-ตีญานียฺ ในขณะเดียวกันเราก็พบว่า ปราชญ์ของฝ่ายชีอะฮฺบางคนได้อธิบายอายะฮฺนี้ค้านกับอัต-ตีญานียฺและสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องอีกเช่นกัน นั่นคือ คำอธิบายของอะลี อิบนุ อิบรอฮีม อัล-กุมมียฺ ที่อธิบายประโยคของอายะฮฺที่ 38 สูเราะฮฺ มุฮัมมัดว่า “และถ้าหากพวกท่านผินออก (จากวิลายะฮฺของอะมีรุลมุอฺมินีน อ.ล.) พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนกลุ่มชนอื่นจากพวกท่านมาแทน (คือพระองค์จะนำพวกเขาเข้าสู่เรื่องนี้ คือ วิลายะฮฺของอะลี อ.ล.) แล้วพวกเขา (กลุ่มชนที่ถูกแทนที่) ก็จะไม่เป็นเหมือนพวกท่าน (ในการเป็นศัตรู ขัดแย้ง และอธรรมของพวกท่านที่มีต่อวงศ์วานของมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)” (ตัฟสีรฺ อัล-กุมมียฺ 2/284)

 

นี่คือการอรรถาธิบายของปราชญ์ชีอะฮฺซึ่งผิดแผกจากคำอธิบายของปราชญ์ชีอะฮฺด้วยกัน และอัต-ตีญานียฺก็คงคิดไม่ถึงว่ามีคำอธิบายเช่นนี้ หาไม่แล้ว อัต-ตีญานียฺก็คงยึดเอาคำอธิบายของอัล-กุมมียฺมาใช้เป็นหลักฐานประณามเศาะหาบะฮฺในเรื่องการไม่ยอมรับวิลายะฮฺของอิมามอะลี (ร.ฎ.) แทนที่จะนำมาอ้างในเรื่องการญิฮาดซึ่งค้านกับคำอธิบายที่ตำราของทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ผู้มีปัญญาและแสวงหาความจริงคงจะรู้ได้ว่าตนควรจะยึดคำอรรถาธิบายของฝ่ายใดที่เกี่ยวกับอายะฮฺนี้ วัลลอฮุมุสตะอาน

 

อัต-ตีญานียฺยังคงเขียนไปเรื่อยเปื่อยอีกว่า : และเช่นดำรัสที่ว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا مَن يَرْتَدَّ مِنكُمْ عَن دِينِهِ فَسَوْفَ يَأْتِي اللَّهُ بِقَوْمٍ يُحِبُّهُمْ وَيُحِبُّونَهُ أَذِلَّةٍ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ أَعِزَّةٍ عَلَى الْكَافِرِينَ يُجَاهِدُونَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ وَلَا يَخَافُونَ لَوْمَةَ لَائِمٍ  ذَٰلِكَ فَضْلُ اللَّهِ يُؤْتِيهِ مَن يَشَاءُ  وَاللَّهُ وَاسِعٌ عَلِيمٌ

ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา ผู้ใดจากพวกเจ้าที่หวนกลับออกจากศาสนาของตน พระองค์อัลลอฮฺจะทรงนำกลุ่มชนหนึ่งที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขารักพระองค์มา พวกเขามีความถ่อมตนต่อเหล่าผู้ศรัทธา มีความภาคภูมิเหนือเหล่าผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะญิฮาดในวิถีทางของอัลลอฮฺ และพวกเขาจะไม่กลัวคำถากถางของผู้ที่ถากถาง นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงไพศาลอีกทั้งทรงรู้ดียิ่ง” 
(อัล-มาอิดะฮฺ : 54)

(ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 116)

 

วิภาษ

อายะฮฺนี้เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา” ( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا ) ซึ่งปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺอ้างว่า หมายถึง อิมามอะลี (ร.ฎ.) หรืออิมามอะลี (ร.ฎ.) เป็นผู้นำดังที่กล่าวมาแล้ว หากอายะฮฺนี้ประทานลงมาเพื่อประณามหรือแจ้งให้ทราบว่าเศาะหาบะฮฺจะตกศาสนา อัต-ตีญานียฺจะว่าอย่างไร หากว่าอายะฮฺนี้หมายถึงอิมามอะลี (ร.ฎ.) หรืออิมามอะลี (ร.ฎ.) เป็นผู้นำ! อัต-ตีญานียฺไม่ได้ฉุกคิดก่อนที่จะนำเอาอายะฮฺนี้มาอ้างประกอบข้อเขียนของตน และอัต-ตีญานียฺก็ไม่ดูตำราตัฟสีรของทั้งสองฝ่ายเพื่อสืบค้นสั่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน

 

เพราะอิมามอัฏ-เฏาะบะรียฺ (ร.ฮ.) ปราชญ์ฝ่ายสุนนะฮฺและนักตัฟสีรฺท่านอื่นๆ ระบุรายงานจากท่านอัล-หะสัน อัล-บะเศาะรียฺ , อัฎ-เฎาะหาก, เกาะตาดะฮฺ และอิบนุญุรอยจ์ว่าอายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของท่าน อบูบักร (ร.ฎ.) และเหล่าสหายของท่านมิหนำซ้ำอิมามอัฏ-เฏาะบะรียฺ (ร.ฮ.) ยังระบุรายงานจากท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) เองว่า อายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของอบูบักร (ร.ฎ.) และเหล่าสหายของท่าน (ตัฟสีรฺ อัฏ-เฏาะบะรียฺ 4/626-623 , อัล-กุรฏุบียฺ 6/142-143 , อัล-บะเฆาะวียฺ 3/69 และฟัตหุลเกาะดีรฺ 2/77)

 

ในขณะที่มีนักตัฟสีรฺฝ่ายสุนนะฮฺบางท่านกล่าวว่าอายะฮฺ ประทานลงมาในเรื่องของชาวอัน-ศอรฺ บ้างก็ว่าประทานลงมาในเรื่องของชาวยะมัน ซึ่งเป็นกลุ่มชนของท่านอบูมูซา อัล-อัชอะรียฺ (ร.ฎ.) อย่างไรก็ตามอายะฮฺนี้ครอบคลุมกลุ่มชนดังกล่าวทั้งหมดซึ่งมีอบูบักรฺ , อุมัร , อุษมาน และอะลี (เราะฎิยัลลฮุอันฮุม) เป็นบุคคลแรกสุดในหมู่เศาะหาบะฮฺและชนรุ่นอาวุโสของเหล่าตาบิอีนซึ่งอยู่ในยุคของเคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺ (ร.ฎ.) ที่นำผู้ศรัทธาสู้รบกับพวกที่ตกศาสนาในคาบสมุทรอาหรับ และอัฏ-ฏอบริสียฺปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺก็ระบุตรงกับปราชญ์สุนนะฮฺว่า : มีความเห็นต่างกันถึงบุคคลที่ถูกให้ลักษณะต่างๆ นี้ บางส่วนกล่าวว่า คืออบูบักรและบรรดาสหายของเขาซึ่งทำการสู้รบกับพวกที่ตกศาสนา ดังรายงานจากอัล-หะสัน เกาะตาดะฮฺ และอัฎ-เฎาะหาก

 

บ้างก็ว่าคือชาวอัล-อันศอรฺ ดังรายงานจากอัส-สุดดียฺ บ้างก็ว่าพวกเขาคือชาวยะมันดังรายงานจากมุญาฮิด บ้างก็ว่า คือชาวเปอร์เซียฺ….บ้างก็ว่าคือ อะมีรุลมุอฺมินีน อะลี (อ.ล.) และบรรดาสหายของท่าน (มัจญ์มะอฺ อัล-บะยาน ; อัฏ-ฏอบรีสียฺ : 2/122-123) ดังนั้นอายะฮฺนี้จึงเป็นอายะฮฺที่ประกาศถึงความประเสริฐของเหล่าเศาะหาบะฮฺที่จะสู้รบกับเหล่าผู้ตกศาสนาเมื่อมีการตกศาสนาเกิดขึ้นภายหลังการสิ้นชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เพราะคุณลักษณะต่างๆ ที่ถูกระบุในอายะฮฺเป็นคุณลักษณะของเหล่าเศาะหาบะฮฺที่มีเหล่าเคาะลีฟะฮฺทั้ง 4 ท่านเป็นบุคคลสำคัญและเป็นผู้นำ

 

ประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์ ( يُحِبُّهُمْ وَيُحِبُّونَهُ ) ก็คือประโยคในอายะฮฺที่ 100 สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺที่ว่า “และบรรดาผู้มาก่อนอันเป็นชนรุ่นแรกจากบรรดามุฮาญิรีนและอันศอรฺตลอดจนบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขาโดยดีนั้น อัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีในพระองค์” และไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดามุฮาญิรีนและอันศอรเป็นที่รักของพระองค์และพวกเขาก็รักพระองค์ พระองค์พึงพอพระทัยต่อพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีในพระองค์ นี่เป็นลักษณะของเศาะหาบะฮฺผู้ศรัทธา มิใช่ลักษณะของผู้ที่ตกศาสนาอย่างแน่นอน

 

ประโยคที่ว่า “คือบรรดาผู้ที่ถ่อมตัวต่อบรรดาผู้ศรัทธา คือบรรดาผู้มีความภาคภูมิและแข็งกร้าวเหนือเหล่าผู้ปฏิเสธ” ถูกอธิบายด้วยอายะฮฺที่ว่า “มุฮัมมัด คือศาสนทูตของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่พร้อมกับเขาคือบรรดาผู้ที่แข็งกร้าวต่อเหล่าผู้ปฏิเสธ คือบรรดาผู้มีความเมตตาในระหว่างพวกเขากันเอง” (อัล-ฟัตห์ : 29) นี่เป็นคุณลักษณะของเหล่าเศาะหาบะฮฺผู้ศรัทธาซึ่งแข็งกร้าวต่อพวกปฏิเสธศรัทธาและสู้รบกับพวกที่ตกศาสนา และมีความเมตตาในระหว่างกัน มิใช่อย่างที่อัต-ตีญานียฺกล่าวอ้าง

 

ประโยคที่ว่า : พวกเขาทำการสู้รบในวิถีทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวคำถากถาง (ข้อตำหนิติเตียน) ของผู้ที่ถากถาง” นี่เป็นคุณลักษณะของเหล่าเศาะหาบะฮฺผู้ศรัทธาที่สู้รบในสมรภูมิต่างๆ พร้อมกับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และสู้รบกับพวกที่ปฏิเสธและพวกที่ตกศาสนา ผู้ที่มีปัญญาย่อมไม่คิดเอาเองว่าอายะฮฺนี้เป็นหลักฐานชี้ถึงกรณีที่เหล่าเศาะหาบะฮฺได้ตกศาสนา เพราะในสสมัยของเคาะลีฟะฮฺอบูบักร (ร.ฎ.) บรรดาเศาะหาบะฮฺและชุนรุ่นตาบิอีนได้สู้รบกับพวกที่ตกศาสนาและได้รับชัยชนะเหนือพวกนั้น

 

ไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างว่า พวกที่ตกศาสนาได้รับชัยชนะเหนือบรรดาเศาะหาบะฮฺที่เป็นผู้ศรัทธา ยกเว้นอัต-ตีญานียฺที่อ้างว่าเศาะหาบะฮฺตกศาสนา ซึ่งหากเศาะหาบะฮฺตกศาสนาแล้วกลุ่มชนที่เป็นผู้ศรัทธากลุ่มใดเล่าที่รบพุ่งกับพวกเผ่าอาหรับที่ตกศาสนา หรือว่าเป็นเศาะหาบะฮฺผู้รู้คุณเพียง 10 คนนั้นเล่า! หรือว่าพวกเผ่าอาหรับที่ตกศาสนานั้นเป็นผู้ศรัทธาในมุมมองของอัต-ตีญานียฺ ในขณะที่เหล่าเศาะหาบะฮฺกลับกลายเป็นกลุ่มชนที่ตกศาสนาตามคำกล่าวอ้างของอัต-ตีญานียฺ เรื่องก็กลายเป็นว่าพวกที่ตกศาสนาสู้รบกันเองกระนั้นหรือ? ทำไมจึงกับตาลปัตรและสับสนถึงเพียงนั้น!

 

ดูเหมือนว่า อัต-ตีญานียฺอาจจะไม่ได้ค้นตำราตัฟสีรฺของปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺบางคนที่อรรถาธิบายอายธฮฺ 54 สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ ขณะที่ตนกำลังเขียนเรื่องนี้ในษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หาไม่แล้วอัต-ตีญานียฺก็คงนำเอาอายะฮฺนี้มาตั้งแต่เป็นหัวข้อเรื่องแล้วให้ชื่ออายะฮฺนี้ว่า “อายะฮฺ อิรฺติดาด อัศ-เศาะหาบะฮฺ อัน ดีนิลลาฮฺ” (อายะฮฺการตกศาสนาของเหล่าสาวก) แทนที่จะนำอายะฮฺนี้มาอ้างประกอบข้อเขียนของตน หรือไม่อัต-ตีญานียฺก็คงจะได้อ่านตำราของปราชญ์ชีอะฮฺบางคนที่อธิบายความอายะฮฺนี้แล้ว แต่อัต-ตีญานียฺยังไม่นำมาอ้างประกอบเพราะจะทำให้ผู้อ่านสะดุดและขาดอารมณ์ร่วมที่คล้อยตามไปกับการโน้มน้าวของอัต-ตีญานียฺก็เป็นได้

 

กระนั้นอัต-ตีญานียฺก็คงเก็บงำคำอธิบายอายะฮฺนี้ของปราชญ์ชีอะฮฺบางคนเอาไว้โดยยังไม่เขียนถึงแต่ก็เชื่อในคำอธิบายนั้นอยู่ในใจตน อาจมีผู้ค้านว่าเรากำลังก้าวล่วงถึงสิ่งที่อยู่ในใจของอัต-ตีญานียฺ เปล่าเลย! เรากำลังใช้วิธีการเดียวกันกับที่อัต-ตีญานียฺมักจะใช้อยู่เนืองๆ เมื่อเขียนถึงเศาะหาบะฮฺว่า เศาะหาบะฮฺมีใจอย่างนั้น เศาะหาบะฮฺคิดอย่างนี้ หรืออุมัรประสงค์อย่างนั้น อุมัรวางแผนอย่างนี้

 

เมื่ออัต-ตีญานียฺยังตั้งประเด็นที่ก้าวล่วงสิ่งที่อยู่ในใจของเหล่าเศาะหาบะฮฺ ทั้งๆ ที่อัล-  กุรอาน หะดีษ และตำราประวัติศาสตร์ไม่ได้ระบุว่าเป็นอย่างที่อัต-ตีญานียฺตั้งประเด็น เราก็คงสามารถตั้งประเด็นเอากับอัต-ตีญานียฺได้เช่นกัน เพราะข้อเขียนของอัต-ตีญานียฺคือสิ่งที่ยืนยันว่าเขาคิดอย่างไร?

 

ปราชญ์ชีอะฮฺบางคนที่ว่านั้นก็คือ อะลี อิบนุ อิบรอฮีม อัล-กุมมียฺ นั่นเอง อัล-กุมมียฺอธิบายความอายะฮฺ สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺว่า : ดำรัสนี้คือการโต้ตอบ (มุคอเฏาะบะฮฺ) กับเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ซึ่งพวกเขาได้ข่มเหงวงศ์วานของมุฮัมมัดซึ่งสิทธิอันชอบธรรมของวงศ์วานมุฮัมมัด และพวกเขาได้หวนกลับ (ตก) จากศาสนาของอัลลอฮฺ !!! “ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงนำกลุ่มชนหนึ่งมา พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์” อายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของอัล-กออิม (อ.ล.) หมายถึงอิมามอัล-มะฮฺดียฺ –และบรรดาสหาย-ของอัล-กออิม (อ.ล.) “พวกเขาจะทำการญิฮาดในวิถีทางของอัลลอฮฺ..” (ตัฟสีรฺ อัล-กุมมียฺ  1/177-178)

 

นี่คือการอรรถาธิบายของอัล-กุมมียฺ ปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺซึ่งค้านกับคำอธิบายของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ที่ตำราตัฟสีรฝ่ายสุนนะฮฺรายงานว่า อายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของท่าน อบูบักร (ร.ฎ.) และบรรดาสหายของท่านและคำอธิบายในตำราของฝ่ายสุนนะฮฺก็สอดคล้องกับสิ่งที่อัฏ-ฏอบริสียฺระบุไว้ในมัจญ์มะอฺ อัล-บะยาน ดังที่กล่าวมาแล้ว ถึงแม้ว่าอัฏ-ฏอบริสียฺจะระบุว่าหมายถึงอิมามอะลี (ร.ฎ.) ด้วยก็ตาม ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับปราชญ์ฝ่ายสุนนะฮฺเพราะอิมามอะลี (ร.ฎ.) และบรรดาสหายของท่านก็คือเศาะหาบะฮฺนั่นเอง แต่สิ่งที่อัล-กุมมียฺอธิบายว่าอายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของอัล-กออิมหรืออิมามอัล-มะฮฺดียฺ อิมามลำดับที่ 12 ของอิมามียะฮฺ อิษนา อะชะรียะฮฺ กรณีค้านกับสิ่งที่ทั้งสองฝ่าย (สุนนะฮฺ-ชีอะฮฺ) เห็นตรงกัน บางทีเหตุผลที่อัต-ตีญานียฺไม่อ้างคำอธิบายของอัล-กุมมียฺ ณ ตรงนี้ก็อาจจะเป็นเพราะนึกขึ้นได้ถึงมาตรฐานที่ตนกำหนดเอาไว้ให้แก่ตัวเอง จึงละที่จะเขียนถึง แม้ว่าอัต-ตีญานียฺจะมีความเชื่อตามคำอธิบายของอัล-กุมมียฺก็ตาม

 

อัต-ตีญานียฺเขียนไว้ใน “อิอฺริฟ อัล-หัก” ว่า : …แท้จริงอัล-กุรอานเพียงอย่างเดียวไม่ได้ให้ประโยชน์อันใดแก่พวกท่าน เหตุนี้ท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จึงบ่งชี้ถึงความหมายนี้ นั่นคือสิ่งที่ท่านรู้ว่าเรื่องราวประชาคมของท่านจะแปรเปลี่ยนไปยังสิ่งนั้น   ภายหลังจากท่าน ท่านเคยกล่าวว่า : “แท้จริงนี่คือ อัล-กุรอานที่นิ่งเงียบ และแท้จริงนี่คืออะลี เขาคืออัล-กุรอานที่พูดได้” หมายความว่า อะลี คือผู้ให้ความกระจ่างภายหลังจากฉัน ดูเหมือนว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ประสงค์ที่จะบอกแก่ผู้คนว่า ท่านจะไม่จากโลกนี้ไปเว้นเสียแต่ภายหลังการที่ท่านได้ละทิ้งผู้ให้ความกระจ่างแก่เหล่ามุสลิมภายหลังจากท่าน และแท้จริงอะลี (อ.ล.) คือผู้ให้ความกระจ่างแก่ผู้คนภายหลังจากท่าน” (อิอฺริฟ อัล-หัก : หน้า 19 , 26)

 

ดังนั้นเมื่อท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ได้ให้ความกระจ่างว่าอายะฮฺที่ 54 สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺประทานลงมาในเรื่องของอบูบักร (ร.ฎ.) และบรรดาสหายของเขา เราก็ถือตามนั้น เพราะเมื่ออายะฮฺนี้ประทานลงมาในเรื่องของอบูบักร (ร.ฎ.) และบรรดาสหายของท่าน นั่นก็ย่อมหมายความรวมถึงท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ด้วยอย่างแน่นอน

 

เราคงไม่วิภาษการอรรถธิบายของอัล-กุมมียฺเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ เพราะนั่นคือคำอรรถาธิบายที่ค้านกับสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ที่สำคัญอายะฮฺนี้เป็นเรื่องของเศาะหาบะฮฺที่อัต-ตีญานียฺนำมาอ้างเป็นหลักฐานประกอบเรื่องการตกศาสนาและเรื่องการญิฮาด ประเด็นของอัล-กุมมียฺนั้นคงต้องละเอาไว้ก่อน ณ ที่นี้ เพราะคงจะได้วิภาษในลำดับต่อไป อินชาอัลลอฮฺ

 

อัต-ตีญานียฺเขียนต่อไปอีกว่า : “หากว่าเราต้องการจะรวบรวมอายะฮฺต่างๆ นอกเหนือจากนี้ซึ่งตอกย้ำความหมายนี้และเปิดเผยอย่างชัดเจนถึงข้อเท็จจริงของการแบ่งประเภทนี้ซึ่งฝ่ายชีอะฮฺกล่าวถึงเกี่ยวกับประเภทนี้จากบรรดาเศาะหาบะฮฺ นั่นก็จำเป็นที่จะต้องเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ และแน่แท้อัล-กุรอานอันทรงเกียรติได้ใช้สำนวนบ่งถึงสิ่งดังกล่าวด้วยสำนวนที่กระชับและยิ่งยวดขณะที่อัล-กุรอานกล่าวว่า : (ยกอายะฮฺที่ 104 , 105 และ 106 สูเราะฮฺอาลิอิมรอน) บรรดาอายะฮฺนี้เป็นไปโดยไม่อำพรางต่อทุกคนที่ค้นคว้าและไคร่รู้ว่าโต้ตอบกับบรรดาเศาะหาบะฮฺ และเตือนพวกเขาจากการแตกแยกและการขัดแย้งภายหลังมีบรรดาหลักฐานอันกระจ่างชัดมายังพวกเขา อีกทั้งยังได้คาดโทษพวกเขาด้วยการลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่ ตลอดจนแบ่งพวกเขาออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งจะถูกฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพที่ใบหน้าผุดผ่อง พวกเขาคือบรรดาผู้รู้คุณซึ่งสมควรได้รับพระเมตตาของอัลลออฮฺ อีกประเภทหนึ่งถูกฟื้นคืนชีพในสภาพที่ใบหน้าดำคล้ำ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ตกศาสนาหลังการศรัทธา และแน่แท้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงคาดโทษพวกเขาด้วยการลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่” (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 116)

 

วิภาษ

คงไม่แปลกที่อัต-ตีญานียฺจะเขียนหนังสือขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อรวบรวมบรรดาอายะฮฺอัล-กุรอานที่กล่าวมาถึงพวกปฏิเสธ (กุฟฟ๊าร) พวกตั้งภาคี (มุชริกีน) และพวกกลับกลอก (มุนาฟิกีน) แล้วยัดเยียดอายะฮฺเหล่านั้นให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺ เพราะทฤษฎีการแบ่งประเภทเศาะหาบะฮฺที่อัต-ตีญานียฺตั้งขึ้นไม่ได้แบ่งแยกเศาะหาบะออกจากชนกลุ่มดังกล่าว คงมีเพียงแต่เศาะหาบะฮฺจำนวน 10 คนเท่านั้นที่อัต-ตีญานียฺแยกเอาไว้และเรียกขานว่า บรรดาผู้รู้คุณ ส่วนที่เหลือคือผู้เนรคุณและตกศาสนา และบรรดาอายะฮฺที่อัต-ตีญานียฺจะนำมาอ้างประกอบในหนังสือเล่มนั้นก็คงจะมากมายหลายอายะฮฺ หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกอายะฮฺที่โต้ตอบกับบรรดาเศาะหาบะฮฺก็คืออายะฮฺที่ประณามและคาดโทษเศาะหาบะฮฺ

 

หากจะมีสักอายะฮฺหนึ่งที่ระบุถึงคุณงามความดีของเหล่าเศาะหาบะฮฺก็ไม่พ้นการตีความและอธิบายของอัต-ตีญานียฺให้กลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามไปได้ ดังเช่นอายะฮฺที่ 104-106 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอน เป็นต้น อายะฮฺที่ 104 มีใจความว่า : “และจงให้มีขึ้นซึ่งกลุ่มคณะหนึ่งจากพวกเจ้า ที่พวกเขาจะเรียกร้องเชิญชวนสู่ความดี และพวกเขากำชับใช้ให้ประพฤติความดี และห้ามปรามจากความชั่ว และพวกเขานี้แหละคือบรรดาผู้ที่ประสบความสัมฤทธิผล” อายะฮฺนี้โต้ตอบกับบรรดาเศาะหาบะฮฺรวมถึงประชาคมมุสลิมโดยรวม และกลุ่มคณะหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่ความดี เหตุไฉนพวกเขาจึงกลายเป็นผู้ที่เรียกร้องไปสู่ความชั่วได้ แล้วพวกเขาจะทำหน้าที่กำชับใช้ให้ประกอบความดีและห้ามปรามจากความชั่วได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาเป็นคนชั่วที่ตกศาสนาไปแล้ว ชัยชนะจะเป็นของพวกเขาได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาเป็นผู้เนรคุณต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างที่อัต-ตีญานียฺกล่าวหา

 

แน่นอนกลุ่มคณะที่ทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นอันดับแรกคือเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) แต่ก็นั่นแหละ แม้อายะฮฺนี้จะเป็นหลักฐานว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่อัต-ตีญานียฺก็นำมาอ้างให้กลายเป็นคนละเรื่องไป อายะฮฺที่ 105 ถัดมาระบุห้ามมิให้เหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นเหมือนพวกยะฮูดและนะศอรอที่แตกแยกและขัดแย้งหลังจากสัจธรรมมายังพวกเขา อายะฮฺนี้ไม่ได้บอกว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นเช่นนั้นแต่บอกว่าอย่าได้เป็นเช่นนั้น เรื่องจึงกลายเป็นว่าเศาะหาบะฮฺคือพวกยะฮูดและนะศอรอกระนั้นหรือ! คงไม่แปลกหากเราจะกล่าวว่าเศาะหาบะฮฺก็คือยะฮูดและนะศอรอตามทฤษฎีของอัต-ตีญานียฺ เพราะอายะฮฺที่กล่าวถึงพวกยะฮูดและนะศอรอ อัต-ตีญานียฺสามารถลากเข้ามาใส่ให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺทั้งสิ้น และการทำเช่นนี้ของอัต-ตีญานียฺย่อมนำไปสู่ความสับสนที่ไม่สามารถแยกได้เลยว่า ใครเป็นใคร ใครเป็นผู้ศรัทธา ใครเป็นผู้ปฏิเสธ ใครเป็นพวกกลับกลอก ใครเป็นพวกยะฮูดและนะศอรอ

 

อายะฮฺที่ 105 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอนเป็นสำนวนคำห้ามมิให้ผู้ศรัทธาเป็นเหมือนพวกยะฮูดและนอศอรอซึ่งแตกแยกและขัดแย้งภายหลังมีหลักฐานอันแจ้งชัดมายังพวกเขา การห้ามมิให้ปฏิบัติเหมือนพวกยะฮูดและนะศอรอเป็นหลักการพื้นฐานโดยทั่วไป เมื่อมีคำสั่งห้ามไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างพวกยะฮูดและนะศอรอ ก็มิได้หมายความว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺและผู้ศรัทธาโดยรวมจะต้องมีพฤติกรรมหรือปฎิบัติตนเช่นนั้นหรือเป็นพวกนั้น และสิ่งที่ถูกเตือนหรือคาดโทษก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปตามนั้น ในเมื่อเหล่าเศาะหาบะฮฺไม่ได้ละเมิดคำสั่งห้ามหรือคำเตือนดังกล่าว แต่คำอธิบายของอัต-ตีญานียฺกลับสรุปเอาเองว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺได้กระทำสิ่งที่ต้องห้ามนั้นด้วยการตกศาสนาและจะถูกฟื้นคืนชีพในสภาพที่มีใบหน้าดำคล้ำตลอดจนจะถูกลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่ในวันกิยามะฮฺ

 

ทั้งๆ ที่อายะฮฺนี้และอายะฮฺที่ 106 แบ่งแยกชัดเจนระหว่างผู้ศรัทธากับบรรดาผู้ปฏิเสธ แต่อัต-ตีญานียฺมุ่งหมายผู้ศรัทธาที่จะมีใบหน้าผุดผ่องเอาไว้เฉพาะบรรดาผู้รู้คุณคือเศาะหบะฮฺเพียง 10 คนนั้น และมุ่งหมายบรรดาผู้ปฏิเสธที่จะมีใบหน้าดำคล้ำและถูกคาดโทษด้วยการลงทัณฑ์อันยิ่งใหญ่ว่าหมายถึงเศาะหาบะฮฺโดยส่วนใหญ่ แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธจริงๆ และพวกกลับกลอกตลอดจนพวกยะฮูดและนะศอรอที่มีพฤติกรรมแตกแยกและขัดแย้งภายหลังสัจธรรมมาถึงเล่า? อัต-ตีญานียฺไม่ได้เขียนถึงพวกเหล่านี้เลยทั้งๆ ที่พวกเหล่านี้คือกลุ่มคนที่อายะฮฺอัล-กุรอานระบุถึง

 

เหตุที่อัต-ตีญานียฺไม่เขียนถึงพวกหลังนี้ก็เพราะไม่มีผู้ปฏิเสธ ผู้เนรคุณ พวกกลับกลอกนอกจากหมายถึงเหล่าเศาะหาบะฮฺเท่านั้นในมโนภาพของอัต-ตีญานียฺ สำหรับอัต-ตีญานียฺแล้ว ทุกอายะฮฺที่กล่าวถึงพวกปฏิเสธ พวกกลับกลอกและพวกที่ตกศาสนาก็คืออายะฮฺที่มุ่งเป้าไปยังเหล่าเศาะหาบะฮฺเท่านั้น! และตามการค้นพบของอัต-ตีญานียฺอายะฮฺใดที่ระบุคำชื่นชม และความประเสริฐของเหล่าเศาะหาบะฮฺ อายะฮฺนั้นก็มีการประณามและตำหนิเศาะหาบะฮฺเอาไว้ด้วยในคราเดียวกัน (ดู ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 113 อธิบายอายะฮฺ 29 สูเราะฮฺอัล-ฟัตห์)

 

หากบรรดาเศาะหาบะฮฺมีสภาพและพฤติกรรมอย่างที่อัต-ตีญานียฺเขียน ทั้งๆ ที่เหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นชนกลุ่มแรกในอิสลามที่เรียกร้องสู่ความดี กำชับใช้ให้ประกอบความดี และห้ามปรามจากการทำความชั่ว ซึ่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงระบุว่าพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ประสบชัยชนะ นั่นคือพวกเขาจะมีใบหน้าที่ผุดผ่องและอยู่ในความเมตตาคือสวนสวรรค์ของพระองค์ตลอดกาล อัต-ตีญานียฺไม่พิจารณาถึงอายะฮฺถัดมาคือ อายะฮฺที่ 110 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอนที่ว่า

كُنتُمْ خَيْرَ أُمَّةٍ أُخْرِجَتْ لِلنَّاسِ تَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَتَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنكَرِ وَتُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ ….. الآية  

“พวกท่านคือที่ดีที่สุดของประชาคมที่ถูกนำออกมาแก่มนุษยชาติ พวกท่านสั่งใช้ให้ปฏิบัติดี และพวกท่านห้ามปรามจากความชั่ว และพวกท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺ”
(อาลิ-อิมรอน : 110)

 

อายะฮฺนี้โต้ตอบกับบรรดาเศาะหาบะฮฺแน่นอน และหากเหล่าเศาะหาบะฮฺเกือบทั้งหมดตกศาสนาหลังการเสียชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาจะเป็นประชาคมที่ดีที่สุดซึ่งถูกนำออกมาแก่มนุษยชาติได้อย่างไร? เงื่อนไขและคุณสมบัติในอายะฮฺนี้ก็คือเงื่อนไขและคุณสมบัติที่ถูกกล่าวถึงในอายะฮฺที่ 104 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอนก่อนหน้านี้ และสาระสำคัญของอายะฮฺนี้ก็คือประโยคที่ว่า “และพวกท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺ” แต่คำอธิบายของอัต-ตีญานียฺกลายเป็น “และพวกท่านปฏิเสธพระองค์” หรือ “พวกท่านจะปฏิเสธภายหลังการศรัทธา” หรือหากถือตามทฤษฎีของอัต-ตีญานียฺ อายะฮฺที่ 110 สูเราะฮฺอาลิ อิมรอนก็จะกลายเป็น “พวกท่านคือผู้ที่เลวที่สุดของประชาคมที่ถูกนำออกมาเพื่อสร้างความเสียหายแก่มนุษยชาติ พวกท่านกำชับใช้และร่วมมือกันทำความชั่ว และพวกท่านห้ามปรามและขัดขวางจากการทำความดี และพวกท่านปฏิเสธอัลลอฮฺและจะปฏิเสธศาสนาของพระองค์หลังจากศรัทธา” 

 

(إنا لله وإنا إليه راجعون)  ไฉนเรื่องราวจึงกลับตาลปัตรไปได้ถึงเพียงนี้! ดูเอาเถิด แม้อายะฮฺที่ 113-115 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอน อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ยังระบุว่าชาวคัมภีร์ไม่เสมอกันเพราะส่วนหนึ่งจากชาวคัมภีร์คือผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาอ่านโองการของอัลลอฮฺในช่วงยามค่ำคืนและก้มลงสุหญูด พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้าย พวกเขาสั่งใช้ให้ทำความดี ห้ามปรามจากการประพฤติชั่ว และพวกเขาเร่งรีบสู่ความดีงามทั้งหลาย แล้วอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ทรงระบุว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ประพฤติดี นั่นคือเหล่าเศาะหาบะฮฺที่เป็นอดีตชาวคัมภีร์ที่เข้ารับอิสลาม เช่น อับดุลลอฮฺ อิบนุ สลาม, ษะอฺละบะฮฺ อิบนุ สลาม , สะอฺยะฮฺ , มุบัชชิรฺ , อุสัยดฺ และอะสัด บุตรของกะอฺบ์ เป็นต้น

 

แล้วเหล่าเศาะหาบะฮฺที่เข้ารับอิสลามมาเก่าก่อนจากบรรดามุฮาญิรีนและอันศอรฺเล่า! พวกท่านเหล่านั้นมีคุณสมบัติและพฤติกรรมเช่นเดียวกับที่อายะฮฺนี้ระบุ ทำไมพวกท่านจึงกลายเป็นผู้เนรคุณและตกจากศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไปได้ตามทฤษฎีของอัต-ตีญานียฺ และอัต-ตีญานียฺก็คงเหมารวมเศาะหาบะฮฺที่เป็นอดีตชาวคัมภีร์เหล่านี้เข้าไปด้วยว่าพวกเขาก็ตกศาสนาเช่นกัน หรือไม่ก็เข้ารับอิสลามเพื่ออำพรางและกระทำตนเป็นผู้กลับกลอก ก็คงต้องเลือกเอาว่าเราจะเชื่อตามที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) บอกและชื่นชมพวกเขาในอายะฮฺนี้ดี หรือว่าจะเชื่อตามทฤษฎีของผู้ที่อ้างว่าได้รับทางนำอย่างอัต-ตีญานียฺเขียนเอาไว้!

 

อัต-ตีญานียฺเขียนสรุปท้ายตรงนี้ก่อนจะอ้างอายะฮฺอื่นเพื่อสนับสนุนทฤษฎีของตนว่า : เป็นเรื่องที่รู้กันโดยภาวะจำเป็นว่า แท้จริงบรรดาเศาะหาบะฮฺได้แตกแยกและขัดแย้งกันหลังจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ตลอดจนพวกเขาได้จุดไฟแห่งความวุ่นวายจนเรื่องนั้นได้นำพาพวกเขาไปสู่การสู้รบ และบรรดาสงครามที่นองเลือดซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความอ่อนแอและทำให้พวกเขาล้าหลัง ทำให้เหล่าศัตรูเกิดความละโมบในการคุกคามชาวมุสลิม และอายะฮฺที่ถูกกล่าวถึงไม่อาจตีความและผันออกจากนัยที่เข้าใจได้สำหรับความนึกคิดทั้งหลาย” (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 116)

 

วิภาษ

ความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ได้ถูกยัดเยียดให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺตามบทสรุปของอัต-ตีญานียฺ และนี่คือสิ่งที่รู้กันโดยภาวะจำเป็นจากข้อเขียนของอัต-ตีญานียฺ อายะฮฺที่ถูกนำมาอ้างอาจจะไม่ได้บ่งถึงสิ่งที่เป็นบทสรุปของอัต-ตีญานียฺเลยแม้แต่น้อย แต่คำอธิบายและข้อเขียนของอัต-ตีญานียฺต่างหากที่บ่งว่าอัต-ตีญานียฺกล่าวและปรักปรำเหล่าเศาะหาบะฮฺด้วยบรรดาข้อหาต่างๆ นาๆ กรณีนี้ต่างหากที่ไม่อาจตีความและผันออกจากนัยที่รู้กันในความนึกคิดทั้งหลาย ยกเว้นคนที่หลงเชื่อไปกับทฤษฎีของอัต-ตีญานียฺเท่านั้น

 

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับและรู้กันคือ หลังการเสียชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มีชาวอาหรับหลายเผ่าในคาบสมุทรอาหรับได้ตกศาสนา มีการอ้างตัวเป็นนบีของบุคคลหลายคนซึ่งมีพรรคพวกและกำลังคนมิใช่น้อยเหล่าเศาะหาบะฮฺภายใต้การนำของเคาะลีฟะฮฺ อบูบักรฺ (ร.ฎ.) ได้ทำสงครามสู้รบกับชาวอาหรับเหล่านั้นจนกระทั่งได้รับชัยชนะ ความวุ่นวายได้สิ้นสุดลง ต่อจากนั้นรัฐคิลาฟะฮฺแห่งนครมะดีนะฮฺก็แผ่ขยายดินแดนและทำสงครามกับอาณาจักรโรมันและเปอร์เซียซึ่งล่มสลาย อิสลามแผ่ขยายไปทั้งตะวันออกและตะวันตก ศาสนาอิสลามเข้าสู่แอฟริกาซึ่งรวมถึงบ้านเกิดเมืองนอนของอัต-ตีญานียฺ (ตูนีเซีย)

 

นั่นหมายความว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺและบรรดาชนรุ่นตาบิอีนได้ญิฮาดในวิถีทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ความรุ่งโรจน์แห่งอิสลามและความเจริญของชาวมุสลิมถูกสืบสานด้วยการทุ่มเทและเสียสละของเหล่าเศาะหาบะฮฺและชนรุ่นตาบิอีน เศาะหาบะฮฺมิได้ก่อสงครามแต่โรมันและเปอร์เซียคือผู้ก่อสงคราม เศาะหาบะฮฺมิได้ตกศาสนาแต่สู้รบเพื่อปกป้องศาสนาจากบรรดาผู้ตกศาสนา ตลอดระยะเวลาของเคาะลีฟะฮฺทั้ง 3 ท่าน มุสลิมได้รบกับบรรดาศัตรูของอิสลามและพิชิตดินแดนต่างๆ มากมาย เศาะหาบะฮฺไม้ได้จุดไฟสงครามในระหว่างกันตลอดช่วงเวลาของเคาะลีฟะฮฺทั้งสามท่าน แต่ความวุ่นวายและการรบพุ่งระหว่างกันเกิดขึ้นในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) หรือในช่วงปลายสมัยเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามการสู้รบระหว่างเศาะหาบะฮฺก็เกิดขึ้นในสมัยท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิอูฐ , สมรภูมิศิฟฟีน ตลอดจนการปราบปรามพวกเคาะวาริจญ์ซึ่งท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายหนึ่งในสมรภูมิเหล่านั้น ดังนั้นหากอัต-ตีญานียฺจะอ้างว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) ไม่ได้เป็นสาเหตุแห่งไฟสงครามที่ถูกจุดขึ้นและมิอาจถือเป็นสิ่งที่จะนำมาประณามท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้เลย ซึ่งเราก็เห็นด้วย! แต่อัต-ตีญานียฺก็จะต้องไม่ลืมว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นผู้นำของชาวมุสลิมที่มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยและสันติสุขของผู้ที่ถูกปกครอง เศาะหาบะฮฺท่านอื่นๆ ซึ่งส่วนมากก็อยู่ฝ่ายท่านอะลี (ร.ฎ.ป ก็สมควรกว่าในการที่จะไม่ถูกประณามหรือถูกกล่าวหาด้วยสิ่งที่อัต-ตีญานียฺยัดเยียดให้!

 

ในสมรภูมิอูฐมีผู้เสียชีวิตราว 10,000 คน ส่วนผู้บาดเจ็บนั้นมีเป็นจำนวนมากไม่อาจรู้จำนวนที่แน่ชัด และไม่ปรากฏว่ามีเหล่าเศาะหาบะฮฺในสองฝ่ายนอกจากเพียงเล็กน้อย อิมามอะหฺมัด (ร.ฮ.) รายงานจากมุฮัมมัด อิบนุ สิรีน (ร.ฮ.) ว่า : ความวุ่นวาย (ฟิตนะฮฺ) ได้ลุกโชนและบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มีหลายหมื่นคน ไม่มีผู้ใดจากพวกเขาได้เข้าร่วมในความวุ่นวายนั้น 100 คน ทว่าพวกเขามีจำนวนไม่ถึง 30 คน ส่วนหนึ่งจากบรรดาเศาะหาบะฮฺที่เข้าร่วมในสมรภูมิอูฐ คือ ท่านอะลี , อัมมารฺ , ฏอละหะฮฺ , อัซ-ซุบัยรฺ , ท่านหญิงอาอิชะฮฺ , อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัซ-ซุบัยรฺ , อัล-หะสัน , อัล-หุสัยนฺ , มุฮัมมัด อิบนุ อบีบักรฺ และสะฮฺล์ อิบนุ หุนัยฟ์ เป็นต้น (อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; อิบนุกะษีรฺ เล่มที่ 4 ภาคที่ 7 หน้า 282 , อัล-มุศอนนัฟ : อับดุรรอซซาก : 11/357 สายรายงานเศาะฮีหฺ)

 

สะอีด อิบนุ ญุบัยรฺ กล่าวว่า : วันสมรภูมิอูฐมีชาวอันศอรร่วมรบในฝ่ายของท่านอะลี (ร.ฎ.) 800 คน และมีบุคคลที่เคยร่วมสัตยาบันอัร-ริฎวานจำนวน 400 คน และอัล-มุฏเฏาะลิบ อิบนุ ซิยาดรายงานจากอัส-สุดดียฺว่า : วันสมรภูมิอูฐมีบุคคลที่เคยรบในสมรภูมิบัดรฺเข้าร่วมรบอยู่ฝ่ายท่านอะลี (ร.ฎ.) 130 คน และอีก 700 คนจากเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) (สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺ ; อัซ-ซะฮะบียฺ 2/639)

 

จะเห็นได้ว่ารายงานหนึ่งระบุว่ามีเศาะหาบะฮฺไม่มากที่เข้าร่วมรบสมรภูมิอูฐจากสองฝ่าย ส่วนรายงานที่สองระบุว่า มีชาวอันศอร, บรรดาเศาะหาบะฮฺที่เป็นชาวสมรภูมิบัดรฺ และเศาะหาบะฮฺที่เคยร่วมสัตยาบันอัร-ริฎวาน และเหล่าเศาะหาบะฮฺอื่นๆ เป็นจำนวนมาก หากถือตามรายงานที่หนึ่งซึ่ง อิมาม อิบนุ สิรีน และอัช-ชะอฺบียฺระบุก็แสดงว่าในสมรภูมิอูฐมีเศาะหาบะฮฺเข้าร่วมจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนของเศาะหาบะฮฺที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นหลายหมื่นคน

 

นั่นหมายความว่ามีเศาะหาบะฮฺอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในสมรภูมิอูฐ และกรณีนี้ก็ย่อมหักล้างคำกล่าวหาของอัต-ตีญานียฺที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺโดยส่วนใหญ่ที่ว่าพวกเขาได้ทำสงครามหลั่งเลือดและจุดไฟแห่งความวุ่นวาย แต่ถ้าหากถือการรายงานที่สอง ซึ่งท่านสะอีด อิบนุ ญุบัยรฺ และอัส-สุดดียฺระบุไว้ นั่นก็หมายความว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นจำนวนนับพันได้เข้าร่วมอยู่ในฝ่ายของเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) หาก   อัต-ตีญานียฺเชื่อว่าการทำสงครามของท่านเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) ชอบธรรมและถูกต้อง แล้วอัต-ตีญานียฺจะกล่าวหาเหล่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมรบกับเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) ว่าก่อสงครามและจุดไฟแห่งความวุ่นวายได้อย่างไร?

 

ส่วนในสมรภูมิศิฟฟีน (ฮ.ศ. 37) นั้นมีรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรฺเราะหฺมาน   อิบนิ อับซาจากบิดาของเขาว่า : พวกเราร่วมอยู่กับท่านอะลี (ร.ฎ.) จำนวน 800 คน จากผู้คนที่เคยให้สัตยาบันอัร-ริฏวาน และส่วนหนึ่งจากพวกเขา 63 คนได้ถูกสังหาร ส่วนหนึ่งคืออัมมารฺ (ร.ฎ.) (ตารีค เคาะลีฟะฮฺ ; อิบนุคอยยาฏ , สำนักพิมพ์พ์ดารุลฟิกร์ หน้า 196) และมีเศาะหาบะฮฺชาวบัดรฺในฝ่ายของท่านอะลี (ร.ฎ.) ถูกสังหาร 25 คน (สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺ (เชิงอรรถ) เล่มที่ 2 หน้า 643) ในสมรภูมิศิฟฟีนมีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย 70,000 คน (อ้างแล้ว หน้า 634) และเศาะหาบะฮฺที่เข้าร่วมรบฝ่ายมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) มีจำนวนไม่กี่คน (ดู อ้างแล้ว หน้า 650) นี่ยังไม่นับเศาะหาบะฮฺส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับสองฝ่ายในเหตุการณ์ความวุ่นวาย (ฟิตนะฮฺ) ดังกล่าว ซึ่งท่านอบูมูซา อัล-อัชอะรียฺ (ร.ฎ.) กล่าวว่า : พวกเขาคือกลุ่มชนที่ดีที่สุด และนี่คือความวุ่นวาย (ฟิตนะฮฺ)” (อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; อิบนุ กะษีร 7/237)

 

เศาะหาบะฮฺส่วนหนึ่งร่วมรบในฝ่ายท่านอะลี (ร.ฎ.) ซึ่งจำนวนมากกว่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมรบในฝ่ายมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ในขณะที่เศาะหาบะฮฺส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่ปลีกตัวออกจากความวุ่นวายโดยถือตามหะดีษที่ท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เคยบอกไว้ หากเศาะหาบะฮฺที่เข้าร่วมกับฝ่ายมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ผิดในกรณีนี้นั่นก็เป็นเศาะหาบะฮฺส่วนน้อย เพราะเศาะหาบะฮฺส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนในสมรภูมิดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างมุสลิมด้วยกัน เหตุไฉนอัต-ตีญานียฺจึงได้เหมารวมว่าเศาะหาบะฮฺคือกลุ่มชนที่จุดไฟแห่งความวุ่นวายและทำสงครามนองเลือดระหว่างกัน

 

ที่สำคัญเศาะหาบะฮฺจำนวนมิใช่น้อยได้ร่วมรบอยู่กับฝ่ายท่านอะลี (ร.ฎ.) และถูกสังหารในสมรภูมิดังกล่าว หากเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นตกศาสนาหลังจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เสียชีวิตอย่างที่อัต-ตีญานียฺกล่าวหาก็แสดงว่าในกองทัพของท่านอะลี (ร.ฎ.) มีกลุ่มชนที่ตกศาสนาและมีลัษณะต่างๆ นาๆ อย่างที่อัต-ตีญานียฺยัดเยียดให้ร่วมรบอยู่กับท่านอะลี (ร.ฎ.) กระนั้นหรือ? อัต-ตีญานียฺลืมไปว่าพวกที่จุดไฟสงครามและความวุ่นวายก็คือบรรดาพวกที่ลอบสังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ซึ่งต่อมาพวกนี้ได้เข้าร่วมอยู่ในกองทัพของท่านอะลี (ร.ฎ.) ตามที่ตำราทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้

 

เหล่าเศาะหาบะฮฺไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องความวุ่นวายนับแต่เหตุการณ์การลอบสังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) แต่เหล่าเศาะหาบะฮฺคือเหยื่อของพวกที่สร้างความวุ่นวายนั้นต่างหาก และทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยการเป็นเคาะลีหะฮฺของท่านอะลี (ร.ฎ.) เหล่าเศาะหาบะฮฺในสมัยท่านเคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺ (ร.ฎ.) รบพุ่งกับพวกตกศาสนาและญิฮาดกับพวกเปอร์เซียและโรมันซึ่งไม่ใช่มุสลิม สงครามที่เกิดขึ้นในสมัยเคาะลีฟะฮฺทั้งสามคือการญิฮาดกับศัตรูของอิสลาม แต่สงครามที่เกิดขึ้นในสมัยเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) คือสงครามระหว่างมุสลิมด้วยกัน และเศาะหาบะฮฺจำนวนหลายหมื่นคนก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามเหล่านั้น ยกเว้นราว 1,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ร่วมรบและทำสงครามอยู่ในฝ่ายเดียวกับท่านอะลี (ร.ฎ.) นี่คือข้อสรุปที่เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์และต่างจากข้อเขียนของอัต-ตีญานียฺโดยสิ้นเชิง

วัลลอฮุอะลัม