หมวดว่าด้วยการอุปโภคบริโภค : ดอกเบี้ย
ในหลักนิติศาสตร์อิสลาม อัร-ริบา หมายถึง การทำข้อตกลงบนสิ่งแลกเปลี่ยนที่ถูกกำหนดเอาไว้แน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าเท่ากันตามมาตรฐานของศาสนาขณะทำข้อตกลง หรือมีการค้างชำระในสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่มีการรับสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนกันในสถานที่ที่ทำการตกลงกัน หรือมีการตั้งเงื่อนไขไว้ในข้อตกลงว่าจะยังไม่ชำระจนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่ตั้งไว้
ดอกเบี้ย (อัร-ริบา) เป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม โดยมีหลักฐานดังนี้
อัลกุรอาน “وَأَحَلَّ الله الْبَيْعَ وَحَرَّمَ الرِّبا” “และอัลลอฮฺทรงอนุมัติการค้าขาย และทรงบัญญัติห้ามดอกเบี้ย” (สูเราะฮฺอัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 275)
อัลหะดีษ มีรายงานจากท่านญาบิร (ร.ฎ.) ว่า : “لَعَنَ رَسُولُ الله آكِلَ الرِّبا ، ومُوْكِلَه وكَاتِبَه وشَاهِدَيْهِ” “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (صلى الله عليه وسلم) ได้สาปแช่งคนกินดอกเบี้ย, คนให้กินดอกเบี้ย, คนบันทึกและพยาน 2 คนในเรื่องดอกเบี้ย” (รายงานโดยมุสลิม)
ทรัพย์สินที่จะเกิดดอกเบี้ย ทรัพย์สินที่จะเกิดดอกเบี้ยมี 6 ประเภท ดังนี้
- ทองคำ
- เงิน
- ข้าวสาลี
- ข้าวบาร์เล่ย์
- อินทผลัมแห้ง
- เกลือ
นอกจากนี้ดอกเบี้ยยังเกิดขึ้นได้ในทรัพย์สินอื่น ๆ อีก ทั้งนี้เพราะกำหนดของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในทรัพย์สินเหล่านั้นมีสาเหตุ ดังนั้นจึงนำทรัพย์สินทุกชนิดที่มีสาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้เกิดดอกเบี้ย ไปเทียบเคียงกับทรัพย์สินทั้ง 6 ประเภทดังกล่าว
สาเหตุที่ทำให้เกิดดอกเบี้ย
หมายถึงลักษณะอย่างหนึ่งที่เมื่อพบอยู่ในทรัพย์สินใด ทรัพย์สินนั้นมีสาเหตุของดอกเบี้ยอยู่ และเมื่อพบสาเหตุนั้นอยู่ในสองสิ่งที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน การซื้อขายแลกเปลี่ยนกันนั้นย่อมถือเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เกิดดอกเบี้ย
สาเหตุที่ทำให้เกิดดอกเบี้ย ได้แก่
- ความมีค่า ใช้เป็นเงินตราในทองคำและเงิน
- การเป็นอาหารของมนุษย์ในข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ อินทผลัมแห้ง และเกลือ
ดังนั้นทุกสิ่งที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอันได้แก่ เงินตราที่เข้ามาทดแทนที่ทองคำและเงิน ซึ่งได้แก่เงินตราสกุลต่าง ๆ ในปัจจุบัน ให้ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีดอกเบี้ยโดยใช้หลักการเทียบเคียงกับทองคำและเงิน อาหารที่มนุษย์ใช้บริโภคเป็นส่วนใหญ่ ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารหลัก เช่น ข้าวสารและข้าวโพดโดยเทียบเคียงกับข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ หรือใช้รับประทานเพื่อความเอร็ดอร่อย เช่น องุ่นแห้งและมะเดื่อเป็นต้นโดยเทียบเคียงกับอินทผลัมแห้ง หรือที่รับประทานเป็นยารักษาโรคและที่เป็นเครื่องปรุงทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น หรือทำให้ร่างกายแข็งแรง เช่น ขิง และยางไม้ เป็นต้น โดยเทียบเคียงกับเกลือ
ประเภทของดอกเบี้ย (อัร-ริบา)
ดอกเบี้ย (อัร-ริบา) มี 4 ประเภทคือ
1. ริบา-อันนะซาอฺ (رِبَاالنَّسَاءِ) หมายถึง ดอกเบี้ยที่เกิดจากการล่าช้าในการส่งมอบสิ่งแลกเปลี่ยนกัน กล่าวคือ เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยอย่างหนึ่งกับทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยอีกอย่างหนึ่งซึ่งในทรัพย์สินมีสาเหตุที่ทำให้เกิดดอกเบี้ยอันเดียวกันโดยมีการค้างชำระไปจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ ไม่ว่าทรัพย์ทั้งสองที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจะมาจากประเภทเดียวกันหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะเท่ากันหรือไม่ก็ตาม
ตัวอย่าง อาทิเช่น มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวสาลีหนึ่งลิตรกับข้าวสาลีหนึ่งลิตร หรือข้าวสาลีหนึ่งลิตรกับข้าวบาร์เล่ย์หนึ่งลิตรหรือสองลิตร โดยค้างชำระเป็นเวลาหนึ่งเดือน หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำน้ำหนักสิบกรัม กับทองคำน้ำหนักสิบกรัมหรือเงินน้ำหนักสิบกรัมหรือมากกว่าหรือน้อยกว่า โดยค้างชำระเป็นเวลาหนึ่งวันหรือมากกว่า
การซื้อขายแลกเปลี่ยนเช่นนี้เป็นที่ต้องห้ามเนื่องจากมีความหมายของดอกเบี้ยจริงปรากฏอยู่ ถึงแม้ว่าไม่ปรากฏชัดก็ตาม เพราะการชำระทันทีย่อมมีส่วนเกินกว่าการค้างชำระ ดังนั้นจึงมีส่วนเกินเกิดขึ้นในสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่ชำระทันที
อนึ่งเรียกดอกเบี้ยประเภทที่ 1 นี้ว่า ริบา อันนะซีอะฮฺ (رِبَااﻟﻨﺴﻴﺌﺔ) ก็ได้โดยมีความหมายเดียวกันกับคำว่า อัน-นะสาอฺ (اَلنَّسَاءُ) นั่นเอง
2. ริบา-อัลฟัฎล์ (رِبَاالْفَضْلِ) หมายถึง ดอกเบี้ยที่เป็นส่วนเกิน อันได้แก่การซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีดอกเบี้ยประเภทเดียวกันพร้อมกับมีส่วนเกินที่เพิ่มมาในสิ่งที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอยู่ฝ่ายหนึ่ง อาทิเช่น มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวสาลีจำนวนหนึ่งลิตรกับข้าวสาลีจำนวนสองลิตร หรือทองคำน้ำหนัก 100 กรัมกับทองคำน้ำหนัก 110 กรัม หรือน้อยกว่าหรือมากกว่า
การซื้อขายแลกเปลี่ยนที่เกิดดอกเบี้ยประเภทนี้ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากมีหลักฐานจากอัลหะดีษระบุว่า
“اَلذَّهَبُ بِالذَّهَبِ ، وَالْفِضَّةُ بِالْفِضَّةِ ، وَالْبُرُّبِالْبُرِّ ، وَالشَّعِيْرُ بِالشَّعِيْر ، وَالْمِلْحُ بِالْمِلْحِ ، مَثَلاً بِمَثَلٍ ، يَدً ابِيَدٍ ، فَمَنْ زَادَ أَوِاسْتَزَادَفَقَدْ أرْبى ، الآخِذُوَالْمُعْطِى فِيْهِ سَوَاءٌ”
“ทองคำแลกเปลี่ยนกับทองคำ, เงินแลกเปลี่ยนกับเงิน, ข้าวสาลีแลกเปลี่ยนกับข้าวสาลี, ข้าวบาร์เล่ย์แลกเปลี่ยนกับข้าวบาร์เล่ย์ และเกลือแลกเปลี่ยนกับเกลือ, ต้องเท่ากัน ส่งมอบกันทันที ผู้ใดได้ให้เกินหรือขอเกิน ผู้นั้นกระทำสิ่งที่เป็นดอกเบี้ย ทั้งผู้เอาและผู้ให้ในสิ่งนั้นมีโทษเท่ากัน” (รายงานโดยมุสลิม)
อนึ่งในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีดอกเบี้ยประเภทนี้จะไม่พิจารณาว่าสิ่งที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันนี้มีคุณภาพดีหรือมีคุณภาพเลว และไม่ว่าทองคำหรือเงินนั้นมีการแปรรูปเป็นทองรูปพรรณหรือถูกทำเป็นเหรียญกษาปณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม การซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินดังกล่าวต้องมีน้ำหนักเท่ากัน จะมากน้อยกว่ากันไม่ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ย
3 . ริบา-อัลยัดฺ (رِبَاالْيَدِ) คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยกับทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีเหตุที่ทำให้เกิดดอกเบี้ยอันเดียวกัน โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขการค้างชำระไว้ในข้อตกลงเดียวกัน แต่เกิดการล่าช้าในการรับสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนกันทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากสถานที่ที่ตกลงกันจริง ๆ ในภายหลัง
หลักฐานในเรื่องนี้ คือ อัลหะดีษที่รายงานจากท่านอุมัร (ร.ฎ.) ว่า “…إِلاَّ هَاءَ وَهَاءَ” “….นอกจากต่างฝ่ายต่างรับกันไป (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)
ซึ่งมีความหมายว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีสาเหตุของดอกเบี้ยเกิดขึ้นได้นั้นจำเป็นต้องรับมอบกันจริง ๆ ในสถานที่ที่ตกลงกัน หากไม่เช่นนั้น (กล่าวคือมีการล่าช้าในการรับมอบเกิดขึ้นในภายหลัง) ก็ถือเป็นดอกเบี้ยในประเภทที่ 3 นี้
4. ริบา-อัล-กอรฎ์ (رِبَاالْقَرْضِ) คือ การที่คนหนึ่งกู้เงินจำนวนที่แน่นอนจากอีกคนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อถึงเวลาที่กำหนดการชำระหนี้ผู้ที่กู้ (ลูกหนี้) ต้องคืนเงินที่กู้มา (เงินต้น) พร้อมกับส่วนเกินที่กำหนดเอาไว้แน่นอนแก่เจ้าหนี้ หรือผ่านให้เป็นงวด ๆ ในรูปของผลประโยชน์หรือกำไร จนกว่าจะคืนเงินต้นได้ครบ
การกระทำเช่นนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) และถือเป็นบาปใหญ่ในศาสนาอิสลาม เนื่องจากเป็นดอกเบี้ยที่ผู้คนในยุคก่อนอิสลาม (ญาฮิลียะฮฺ) นิยมกันอย่างแพร่หลาย และพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ได้ทรงลงบัญญัติห้ามการกินดอกเบี้ยประเภทนี้เอาไว้โดยตรงนับแต่เบื้องแรก ดังปรากฏในพระดำรัสที่ว่า :
“يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ اتَّقُواْ الله وَذَرُواْ مَا بَقِيَ مِنَ الرِّبَا إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ ، فَإِن لَّمْ تَفْعَلُواْ فَأْذَنُواْ بِحَرْبٍ مِنَ اللهِ وَرَسُولِهِ وَإِن تُبْتُمْ فَلَكُمْ رُؤُوسُ أَمْوَالِكُمْ …. الآية
“โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย สูเจ้าทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และสูเจ้าทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งที่เหลืออยู่จากดอกเบี้ย หากว่าสูเจ้าทั้งหลายเป็นศรัทธาชน ดังนั้นหากสูเจ้าทั้งหลายไม่ปฏิบัติ สูเจ้าทั้งหลายก็จงรับรู้ถึงสงครามจากอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์เถิด และหากสูเจ้าทั้งหลายสำนึกผิดแล้ว ดังนั้นสำหรับสูเจ้าทั้งหลายก็คือทรัพย์ต้นทุนของสูเจ้า (ที่มีสิทธิเอาคืน) …”
(สูเราะฮฺอัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 278-280)
เหตุผลของการห้ามดอกเบี้ย
- ดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักความยุติธรรม โดยเฉพาะในการลงทุนหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำหนดอัตรากำไรหรือผลตอบแทนล่วงหน้าตายตัวโดยไม่คำนึงถึงหรือรับผิดชอบต่อสัญญาร่วมลงทุนอีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรม
- ดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ที่ทำให้คนร่ำรวยเกียจคร้าน ไม่คิดจะลงทุนหรือลงแรงทำงาน แต่จะคิดให้กู้เงินเพื่อเอาดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียว
- ดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ทำให้คนรวยเป็นชนชั้นได้เปรียบในสังคม เศรษฐกิจสมัยใหม่เพียงแค่นำเงินมาฝากธนาคาร คนรวยก็สามารถมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้นในระบบดอกเบี้ย คนรวยมีแต่จะรวยขึ้น และคนจนมีแต่จะจนลง
- ดอกเบี้ยมีผลเสียต่อเศรษฐกิจ หากดอกเบี้ยสูงและยังมีการลงทุน ผู้ผลิตที่กู้ยืมเงินจากธนาคารก็จะนำดอกเบี้ยเข้าไปเป็นต้นทุน ซึ่งทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และผู้แบกรับภาระก็คือ ประชาชน หากดอกเบี้ยสูง และไม่มีการลงทุน ผลที่ตามมาก็คือไม่มีการจ้างงานเพิ่ม และไม่มีการกระจายรายได้ เกิดภาวะว่างงาน ที่จะก่อให้เกิดปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา
- ดอกเบี้ย นอกจากจะขัดต่อหลักการศาสนาแล้ว ยังเป็นการทำลายความรู้สึกแห่งความเป็นพี่น้องกันในหมู่มนุษย์ที่คนร่ำรวยจะต้องช่วยเหลือคนยากจน